วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ภูมิปัญญาท้องถิ่นของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน)

ภูมิปัญญาท้องถิ่นของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน)

สุดยอดผ้าเมืองไทย – ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเภทผ้าฝ้าย

รางวัลชนะเลิศ ผ้าฝ้ายย้อมครามลายบ้านเชียง
ความเป็นมา
เดิมชาวบ้านทอผ้าฝ้ายย้อมครามสีพื้น และต่อมาก็มัดหมี่เป็นลายต่างๆ ตามที่จินตนาการได้ หรือดูลายจาหนังสือ ภายหลังได้ลอกลายเขียนสีจากหม้อดินเผาบ้านเชียง ซึ่งเป็นเครื่องใช้ของมนุษย์ในสมัยก่อน ประวัติศาสตร์ที่ขุดค้นได้ในแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์บ้านเชียงมาประยุกต์เป็นลายผ้า  ปรากฏว่าความสวยงามและเอกลักษณ์ของลายนี้ ทำให้ผ้าฝ้ายย้อมครามลายบ้านเชียงเป็นที่นิยมขึ้นอย่างกว้างขวาง
จุดเด่น ลวดลายสวยงามแปลกตา และเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น เส้นฝ้ายผลิตเองตามกรรมวิธีธรรมชาติ  และย้อมด้วยสีธรรมชาติ ทอย่างประณีต เนื้อแน่น อายุการใช้งานยาวนาน
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1  ผ้าฝ้ายลายผ้าแม่นางคำ 
ความเป็นมา
บ้านพันนานี้มีการทอผ้าสืบต่อกันมาแต่ครั้งบรรพบุรุษและมีเรื่องเล่าสืบทอดกันมาว่า วันหนึ่งมียายแก่แปลกหน้าคนหนึ่งมาขอยืมฟืมของชาวบ้าน เพื่อไปทอผ้า หนึ่งเดือนให้หลังยายแก่คนนั้นนำฟืมมาคืนปรากฏว่ามีลายผ้าติดอยู่ที่ฟืมด้วย  ครั้งสุดท้ายที่มายืมยายคนนั้นขอพังค้างคืนด้วย  ตกดึกเจ้าของบ้านตื่นขึ้นมา  แล้วพบว่าร่างของยายกลายเป็นงูใหญ่ จากนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามียายแก่มายืมฟืมอีกเลยชาวบ้านได้นำลายผ้าที่ค้างอยู่กับฟืมไปทอต่อ เรียกลายดังกล่าวว่า “ลายซิ่นฝ้าย” จากนั้นมีการประยุกต์และดัดแปลงลายซิ่นฝ้ายนั้นเรื่อยมาแล้วตั้งชื่อลายผ้าว่า “ลายผ้าแม่นางคำ” เพราะเชื่อกันว่างูใหญ่นั้นน่าจะเป็นแม่นางคำผู้สิงสถิตอยู่ ณ ศาลใหญ่ประจำหมู่บ้านนั่นเอง
จุดเด่น  เป็นผ้าฝ้ายแท้  ทอด้วยมือ สีสันและลวดลายสวยงามแปลกตา
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2   ผ้าฝ้ายมัดหมี่ร่วมสมัยลายดอกฝาง (ดอกหางนกยูง)
ความเป็นมา
เป็นฝีมือทอผ้าของกลุ่มอนุรักษ์และฟื้นฟูผ้าและลายผ้าพื้นเมืองอีสานโดยผู้ทอได้คิดประดิษฐ์ลายด้วยการเลียนแบบดอกไม้ประจำตำบลฝาง คือดอกฝางหรือดอกนกยูง ที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น
จุดเด่น  ลวดลายและสีสันสวยงาม  สอดดิ้นสีทอง เนื้อผ้าระบายอากาศได้ดี สวมใส่สบาย  ซับเหงื่อได้ดี

สุดยอดผ้าเมืองไทย – ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเภทผ้าไหม

รางวัลชนะเลิศ ผ้าไหมมัดหมี่

ความเป็นมา
ผ้าไหมมัดหมี่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของคนอีสานที่มีวิธีการสร้างลายผ้าไหมด้วยวิธีโบราณสืบต่อกันมาช้านานโดยนำเส้นไหมมามัดเป็นลวดลายแล้วย้อมเป็นสีต่างๆ ตามความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคน เมื่อนำเส้นไหมที่มัดและย้อมสีแล้วไปทอก็จะได้ผ้าไหมที่มีลวดลายสวยงามซึ่งกรรมวิธีมัดและย้อมเส้นไหมนี้เองนำมาซึ่งชื่อผ้า“มัดหมี่”
จุดเด่น  เนื่องจากผ้าไหมมัดหมี่ต้องมัดย้อมด้วยมือเท่านั้น เครื่องจักรหรือเทคโนโลยีสมัยใหม่ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้มาก จะช่วยได้ก็แค่บางอย่างเท่านั้น ผ้าไหมมัดหมี่จึงมีเอกลักษณ์หรือลวดลายเฉพาะตัว ทอโดยผู้ชำนาญงานและฝีมือประณีต
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1  ผ้าขิดไหม
ความเป็นมา
ผ้าขิดไหมเป็นผ้าที่ทำยากและใช้ความประณีตสูง มีต้นแบบมาจากปู่ย่าตายาย ซึ่งผลิตหมอนขิดและผ้าใช้สอยในครั้งโบราณปัจจุบันมีการประยุกต์และพัฒนามาเป็นผ้าไหมที่มีเอกลักษณ์ และมีความสวยงาม
จุดเด่น ทอขึ้นอย่างประณีต ควบคุมการทอโดยผู้ชำนาญการ ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป จึงได้ผ้าทอที่เนื้อแน่น คุณภาพดีสีสวย และมีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2  ผ้าไหมมัดหมี่

ความเป็นมา
การทอผ้ามัดหมี่ของกลุ่มทอผ้าไหมบ้านแฝก-โนนสำราญ  สืบทอดวิธีการทอมือด้วยกี่พื้นบ้าน ซึ่งเป็นเครื่องมือดั้งเดิมของบรรพบุรุษ แต่ได้นำลวดลายโบราณ ชื่อลายหมี่ขอทบเชือกมาประยุกต์และเปลี่ยนจากการใช้ย้อมสีธรรมชาติเป็นการย้อมด้วยสีเคมีสำเร็จรูป
จุดเด่น  ฝีมือการทอสม่ำเสมอ เพราะทอด้วยมือ  สีสันสดใส สวยงามด้วยสีเคมี

ผ้ามัดหมี่ – ตัวอย่างผ้ามัดหมี่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, จ.ขอนแก่น

ลายหมี่กง
เอกลักษณ์ ลวดลาย และการใช้ประโยชน์
สามารถอธิบายเอกลักษณ์ของผ้าไหมเหมืองขอนแก่นได้ด้งต่อไปนี้
1. ลายผ้าไหมมัดหมี่ ลายหมี่กง ลายขันหมากเบ็ง หรือเรียกอีกชื่อได้ว่าลายเชิงเทียนหรือลายขอพระเทพ สองลายนี้ถือว่าเป็นลายต้นแบบและเป็นลายเก่าแก่ของผ้าเมืองขอนแก่นนับได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของผ้าไหมเมืองขอนแก่น

2. สีสันและความประณีตของลาย
 เป็นเอกลักษณ์พิเศษอย่างหนึ่งของผ้าไหมเมืองขอนแก่น สีที่เป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมคือ สีม่วง สีแดง สีเขียว สีเม็ดมะขาม


3. การทอผ้าแบบ 3 ตะกอ
 เป็นเอกลักษณ์พิเศษของการทอผ้าเมืองขอนแก่นผ้าที่ทอด้วยระบบ 3 ตะกอจะมีลักษณะหนา เนื้อผ้าแน่น ผ้าสองด้านจะมีโทนสีแตกต่างกัน


4. ผ้าหน้านาง
 (ท้องถิ่นอื่นเรียกว่า “ปูม” ซึ่งเป็นผ้าที่ทอขึ้นสำหรับเจ้านายใช้นุ่ง มีลักษณะแบบโจงกระเบน ในสมัยโบราณนิยมใช้ในเขตอีสานใต้ ในประเทศลาวแถบแขวงเมืองจำปาสัก และเขมร) การทอผ้าไหมมัดหมี่ “หน้านาง” เป็นเอกลักษณ์ของการทอผ้าแบบหนึ่งของเมืองขอนแก่น ซึ่งได้มีการลอกเลียนแบบมาจากผ้าต้นแบบซึ่งเป็นผ้าของเจ้าเมืองชนบทคนแรกปัจจุบันผ้าผืนนี้ก็ยังปรากฏอยู่มีอายุกว่า 220 ปี เอกลักษณ์การทอผ้าหน้านางของเมืองขอนแก่นจะมีลวดลายสีสันวิจิตรพิสดารกว่าที่อื่น เนื่องจากได้มีการนำลายโบราณมาประยุกต์เข้ากับลวดลายไทยใหม่ ๆ ที่คิดสร้างสรรค์ขึ้น “ผ้าหน้านาง เมืองขอนแก่น”ได้รับรางวัลชนะเลิศที่ 1 ของการประกวดผ้าไหมไทยประเภท “ผ้าปูม” เมื่อ วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2536จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ซึ่งทอโดย นายสุรมนตรี ศรีสมบูรณ์ เป็นช่างทอผ้าอำเภอชนบท


5. 
จากการสำรวจของวิทยาลัยการอาชีพจังหวัดขอนแก่น ซึ่งได้ศึกษาจากลายผ้าเก่าที่พอจะพบเห็นได้ในปัจจุบันในอำเภอชนบท สามารถจำแนกลายหมี่พื้นฐาน หรือ แม่ลายได้ทั้งหมด 7 ลาย ได้แก่ 1. ลายหมี่ข้อ 2.ลายหมี่โคม  3.ลายหมี่บักจับ 4.ลายหมี่กง 5.ลายหมี่ดอกแก้ว 6. ลายหมี่ขอ 7. ลายหมี่ใบไผ่ และยังสามารถแบ่งกลุ่ม ของการจัดวางลายได้เป็น 2 วิธี คือ การจัดวางแบบลายเดียวซ้ำกันทั้งผืน และการจัดวาง แบบมีเส้นแบ่งลายเป็นทางยาว มีทั้งทางด้านตั้งและด้านนอน เรียกเป็นภาษาพื้นบ้านว่า “หมี่คั่น” หรือ “หมี่ตา”
ลวดลายผ้าที่พบในจังหวัดนี้ได้แก่ ผ้าไหมและฝ้ายมัดหมี่ ลายหมี่ใบพัด ลายหมี่กง ลายหมี่น้ำพอง ลายหมี่ขอ ลายหมี่งูเหลือมใหญ่ ลายหมี่ปราสาทเสกกษัตริย์ ลายหมี่แปบ ผสมขอปลาหมึก ลายหมี่โคมเก้า ลายหมี่คั่นตาล็อค หลายหมี่กงห้าลายผสมกงเจ็ดสาย ลายหมี่จี้เพชรสอดไส้ปลาไหล โดยส่วนใหญ่ใช้ทอเป็นผ้าผืน ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจำพวกเครื่องแต่งกายและผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น ๆ อาทิ ผ้าห่ม ผ้าคลุมเตียง ผ้าพันคอ ฯลฯ
การสืบทอดทางวัฒนธรรม
อำเภอชนบท ได้มีการตั้งเป็นเมืองเมื่อปี พ.ศ. 2326 มีกวนเมืองแสน หรือพระจันตะประเทศเป็นเจ้าเมืองคนแรก  ตามหลักฐานเดิมมีชื่อว่า “ชลบท” ซึ่งแปลว่าทางน้ำหรือเมืองที่มีน้ำล้อมรอบ ซึ่งประชากรมีการอพยพมาจากเมืองสุวรรณภูมิ ประเทศลาว (เมืองสุวรรณภูมิ อพยพมาจากแคว้นจำปาสัก ) จากการที่เมืองชนบทซึ่งมีชาติพันธุ์ไท – ลาวสายแคว้นจำปาสักนี้เองที่ทำให้ศิลปะการทอผ้าไหมไดมีการเผยแพร่ อนุรักษ์ และวิวัฒนาการเป็นมรดกตกทอดมาสู่รุ่นหลัง ทั้งนี้เนื่องจากแคว้นจำปาสักหรือแขวงจำปาสักของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในปัจจุบันเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดในเรื่องการทอผ้าไหมโดยอำเภอชนบทนี้ถือว่าเป็นศูนย์รวมการทอผ้าที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดขอนแก่น ทุกอำเภอที่พบการทอผ้าจะได้รับการถ่ายทอดทางด้านลวดลายต่าง ๆ มาจากอำเภอชนบททั้งสิ้น
ลายหมี่โคมเก้า
กระบวนการปัญหา และอุปสรรคทางด้านการผลิตและการจำหน่าย
อำเภอชนบท ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาวิธีการย้อมสีผ้าเป็นการย้อมทับไล่สีจากอ่อนไปเข้า และนิยมใช้โทนสีเดียวกัน ซึ่งผิดกับสีผ้าสมัยโบราณที่มักจะใช้สีสด หรือสีฉูดฉาด รวมทั้งลวดลายบางอย่างที่ทำยากหรือไม่เป็นที่นิยม ปัจจุบันก็จะไม่ค่อยมีผู้ทอ หรือไม่ทอเพื่อจำหน่ายแต่จะทอเพื่อใช้เอง ซึ่งทำให้อาจจะสูญไปในอนาคต เช่น ลายส่าว (ลายเฉียง) ลายหมี่คั่น (หมี่ตา) ในเรื่องของการจำหน่ายพบว่า มีร้านค้าจำหน่ายอยู่ทั่วไปมีทั้งปลีกและส่ง ในอีกกรณีหนึ่งนายทุนจะเป็นผู้กำหนดเรื่องลายและคุณภาพ ของผ้าจะมีการว่าจ้างช่างในหมู่บ้านทำหน้าที่ในการมัดย้อมเส้นไหม จากนั้นจะนำไหมที่มัดย้อมแล้วไปทอในจังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสานนอกเหนือจากในจังหวัดขอนแก่น ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ บุรีรัมย์ เป็นต้น โดยส่วนใหญ่แล้วทุกอำเภอที่มีการสำรวจ จะพบว่ามีการใช้ไหมเป็นวัตถุดิบในการทอผ้าแทบทั้งสิ้น จะมีการใช้ฝ้ายแต่เพียงการทอเพื่อใช้เองในครอบครัวเท่านั้น
ลายหมี่ใบพัด
แต่ที่อำเภอหนองเรือ พบว่ามีชื่อเสียงในเรื่องการทอผ้ามัดหมี่โดยใช้ฝ้ายที่ย้อม สีธรรมชาติจนถึงกับได้มีการรวมตัวให้เป็นกลุ่มทอผ้าขึ้น ชื่อว่าศูนย์ผลิตและจำหน่ายผ้าฝ้ายสีธรรมชาติ ตั้งอยู่ที่บ้านหนองแวง ตำบลโนนสะอาด อำเภอหนองเรือ ได้รับการสนับสนุนจาก หน่วยงานของรัฐบาลคือ กรมส่งเสริมการเกษตร มีการใช้กี่ขนาดใหญ่ยาว 2 – 3 เมตร เป็นกี่ตั้ง มี 4 ตะกอ การสร้างลาย จะทำโดยการเหยียบตะกอหรือเขาสลับกันไปเป็นคู่ ๆ แล้วแต่ลายบาง ลายจะใช้เทคนิคในการยึดเส้นด้วยแล้วแบ่งช่วงทอจนเกิดเป็นลาย บางลายอาจจะต้องยึดเส้นพุ่ง บางลายยึดเส้นยืนแต่ก็ยังไม่ได้รับความนิยมมากนักมีปัญหาเรื่องของตลาดรับซื้อ ส่วนหนึ่งคาดว่าอาจจะขาดการประชาสัมพันธ์
ลายหมี่น้ำพอง
ที่อำเภอมัญจาคีรี อำเภอพระยืน อำเภอพล อำเภอภูเวียง อำเภอชุมแพ โดยสามอำเภอแรกมีพื้นที่ติดกับอำเภอชนบท ทำให้ได้รับอิทธิพลการทอผ้าไหมมัดหมี่มาด้วยและทั้งห้าอำเภอนี้เป็นสถานที่ที่นายทุนส่งผ้าที่มัดย้อมแล้วมาทอ เพราะฉะนั้นลวดลาย และเทคนิคต่างๆจึงเหมือนกับที่อำเภอชนบท
ที่อำเภอมัญจาคีรีนั้นมีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการทอเพื่อใช้เอง และจะซื้อไหมจากโรงงานเพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการทอเพื่อจำหน่าย ที่อำเภอบ้านไผ่ พบว่ามีการจัดตั้งศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ โดยรับมาจากอำเภอชนบท แต่ปัญหาที่ประสบอยู่คือ ขายได้ปริมาณน้อย เนื่องจากสินค้า มีต้นทุนที่สูงเพราะ มีการว่าจ้างทำงานหลายทอดส่งผลให้สินค้า มีราคาแพง อีกทั้งความต้องการของตลาดลดลง ซึ่งอาจถือได้ว่าขาดการพัฒนาทางด้านลวดลายและคุณภาพที่สอดคล้องกับความต้องการ
ผ้ามัดหมี่ ลายหมี่ขอ

ผ้ามัดหมี่ – ตัวอย่างผ้ามัดหมี่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, จ.ศรีสะเกษ

 
ผ้ามัดหมี่ลายเต่าและลายไทยใหญ่ ตำบลสำโรงพลัน อำเภอไพรบึง จ.ศรีสะเกษ
ผ้ามัดหมี่ 2 ตะกอลายเชิงเทียน อำเภอราศีไศล
เอกลักษณ์ ลวดลาย และการใช้ประโยชน์
บ้านเปาะ ตำบลบึงบูรณ์ อำเภอบึงบูรณ์ พบการทอผ้าไหมมัดหมี่ด้วยด้ายสำเร็จที่ซื้อจากจังหวัดเพชรบูรณ์นำมาย้อมสีเองด้วยสีวิทยาศาสตร์ลายขิด ลายกระจับ
บ้านไทร ตำบลสำโรงพลัน อำเภอไพรบึง พบการทอผ้าไหมมัดหมี่ 3 ตะกอลายดั้งเดิม ได้แก่ ลายเต่า ลายไทยใหญ่ โดยส่วนใหญ่ใช้ทอเป็นผ้านุ่งและจากในทุกพื้นที่ที่สำรวจพบ ส่วนใหญ่ได้ทอเพื่อทำเป็นผ้านุ่ง ผ้าพื้นที่ไม่มีลวดลายหลัก (ไหม / ฝ้าย ) และมีการทอแบบ 2 ตะกอ เป็นลายโคม ลายพญานาค และลายประยุกต์เช่นลายโคม ลายสีดา เป็นต้น
ที่บ้านห้วย ตำบลบัวทุ่ง อำเภอราษีไศล และ บ้านโนนคำแก้ว ตำบลสังเม็ก อำเภอ กันทรลักษณ์ พบการทอผ้าไหมมัดหมี่ 2 ตะกอ ด้วยไหมที่เลี้ยงเอง ย้อมสีวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นลายที่ประยุกต์ขึ้นใหม่ ลายงูน้อย ลายไทย ลายเชิงเทียน ลายต้นสน ลายไก่และมีการทอ ลายดั้งเดิมอยู่บ้าง เป็นลายขอคั่น ลายขอพวง ลายนาคน้อย ลายนาคปรก เป็นต้น
ที่บ้านหาด ตำบลผักไหม อำเภอห้วยทับทัน และ บ้านหนองถ่ม ตำบลดู่ อำเภอ กันทรารมย์ มีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเองและบางส่วนก็ซื้อมา ได้รับการแนะนำจากศูนย์ศิลปาชีพ ในพระบรมราชินีนาถในการทอผ้าไหมมัดหมี่ 2 ตะกอลายโบราณ พบผ้าลายโคมห้า ลายดอกแก้ว ลายขอคั่น ลายไทย ลายปลาตะเพียน และทอลายประยุกต์ เช่นลายนกยูง เป็นต้น
ที่บ้านกุดเมืองฮาม ตำบลกุดเมืองฮาม อำเภอยางชุม พบว่าไหมที่ใช้ทอเป็นไหมที่เลี้ยงเองส่วนหนึ่งและซื้อมาอีกส่วนหนึ่ง ทอผ้าไหมมัดหมี่ ทั้ง 2 และ 3 ตะกอ ลายขอ ลายบักจับเครือบางลายเป็นลายดั้งเดิมรวมกับลายประยุกต์เช่น ลายนาคต้นสน  ลายโคมห้าเอื้อสอดไส้ด้วยลายกาบ
ที่บ้านเขิน ตำบลเขิน อำเภอน้ำเกลี้ยง บ้านโนนคูณ ตำบลโนนค้อ อำเภอโนนคูณ และบ้านหนองหว้า ตำบลหนองหว้า อำเภอเบญจลักษณ์ พบว่ามีความพยายามที่จะปลูกหม่อนเพื่อเลี้ยงไหมแต่ไม่เป็นผลเนื่องจากความแห้งแล้งจึงต้องซื้อไหมมาย้อมด้วยสีวิทยาศาสตร์เป็นการทอเพื่อขาย การทอผ้ามัดหมี่ที่ชาวบ้านคิดลายเอง ลวดลายไม่โดดเด่น ส่วนใหญ่จะไม่มีชื่อเรียก มีทั้งฝ้ายและไหม ทอเป็นผ้าซิ่น ผ้าเบี่ยง และผ้าขาวม้า เป็นต้น
ที่บ้านร่องสะอาด ตำบลพรหมสวัสดิ์ กิ่งอำเภอพยุห์ มีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเพื่อใช้ในการทอผ้าไหมมัดหมี่ และใช้สีวิทยาศาสตร์ในการย้อมเช่นเดียวกัน เป็นการทอเพื่อใช้และขายกันเองในหมู่บ้าน ไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาแนะนำ พบผ้าซิ่นไหมลายดั้งเดิมเรียกว่า ผ้าไหมเข็นและลายอื่น ๆ ที่คิดขึ้นเอง มีการนำผ้าไหมต่อเชิงด้วยฝ้ายขิด
ที่บ้านค้อปอ ตำบลขุนหาญ อำเภอขุนหาญซื้อไหมจากอุทุมพรพิสัยมาขายที่หมู่บ้านย้อมสีวิทยาศาสตร์ พบการทอผ้าไหมมัดหมี่ลายหน่วยสับขอ ลายหน่วยสับมะแปปน้อย
การสืบทอดทางวัฒนธรรม
ส่วนใหญ่เป็นผ้าที่ทอโดยใช้ลวดลายพื้นถิ่นที่มีการสืบทอดมานาน แต่บางอำเภอได้มีการนำลายมาจากแหล่งอื่น เช่น ที่อำเภอห้วยทับทัน มีการนำลายผ้ามาจาก หนังสือ ซึ่งได้รับพระราชทานมาจากสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ อีกทางหนึ่งได้รับการอบรมจากทางราชการ
กระบวนการปัญหา และอุปสรรคทางด้านการผลิตและการจำหน่าย
อำเภอบึงบูรณ์ มีการรวมกลุ่มเป็นศูนย์ทอผ้าของหมู่บ้านชื่อว่าศูนย์พัฒนาอาชีพเช่นเดียวกับที่อำเภอห้วยทับทัน มีหน่วยราชการจากพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนครเข้ามาดูแลส่วนอำเภอที่เหลือสถานที่ทอจะใช้พื้นที่บ้านของตนเอง
ที่อำเภอบึงบูรณ์ และอำเภอไพรบึง เส้นไหมที่ใช้ผลิตขึ้นเอง อำเภออื่น ๆจะใช้วิธีซื้อสำเร็จ ที่บ้านโนนคำแก้ว ตำบลสังเม็ก อำเภอกันทรลักษณ์ และอำเภอเบญจลักษณ์ มีการมัดย้อมด้วยสีธรรมชาติ ส่วนอำเภออื่น ๆ ใช้สีวิทยาศาสตร์
การทอส่วนใหญ่จะใช้กี่ธรรมดา จะมีบางแห่งที่ใช้กี่กระตุก เช่น ตำบลดู่ อำเภอกัทรรมย์ ทุกอำเภอที่พบการทอผ้าจะใช้ทำเป็นอาชีพเสริมหลังว่างจากการทำนาทำสวน ยกเว้นบ้านโนนคำแก้ว ตำบลสังเม็ก อำเภอกันทรลักษณ์
จากการสำรวจพบว่า
ที่จังหวัดศรีสะเกษมีแนวทางที่จะสามารถพัฒนาอาชีพการทอผ้าได้เนื่องจากชาวบ้านมีความสนใจและตื่นตัว หากแต่ขาดการสืบทอดไปสู่คนรุ่นหนุ่มสาวเพราะยังไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควร พบว่าผู้ทอผ้าขาดความสนใจที่จะทอผ้าลายโบราณ ทั้งนี้เนื่องจาก ใช้เวลานานทำให้ไม่คุ้มกับรายได้ที่ได้รับ
การจำหน่าย
จะมี 3 ช่องทางคือ มีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อ จำหน่ายตามศูนย์ทอผ้าที่จัดตั้งขึ้นในแต่ละท้องที่ และจำหน่ายโดยผ่านหน่วยงานราชการ ปัญหาที่พบในเรื่องของการจำหน่ายคือการกำหนดราคารับซื้อต่ำโดยพ่อค้าคนกลางและหน่วยงานราชการ รวมถึงการหักเปอร์เซ็นต์จากการขาย จ่ายล่าช้า จ่ายไม่ครบ ความช่วยเหลือที่ต้องการคือการสนับสนุนทางด้าน อุปกรณ์การผลิต การรวมกลุ่มการผลิต เงินทุน การอบรมหรือถ่ายทอดความรู้  การตลาดและการส่งเสริมให้เกิดการจัดตั้งร้านค้ากลุ่ม โดยอาจจัดตั้งในแหล่งท่องเที่ยวเพื่อลดบทบาทของพ่อค้าคนกลาง

ผ้ามัดหมี่ – ตัวอย่างผ้ามัดหมี่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, จ.เลย

 
หมี่คั่นในตัว บ้านเหมืองแบ่ง อำเภอวังสะพุง
เอกลักษณ์ ลวดลาย และการใช้ประโยชน์
บ้านเหมืองแบ่ง ตำบลหนองหญ้าปล้อง อำเภอวังสะพุง พบการทอผ้าไหมมัดหมี่ลายดั้งเดิมได้แก่ ลายไก่ ลายนกยูง ลายดอกแก้วพื้นเมือง ลายหมี่คั่นในตัว ลายดอกจิกการทอผ้าฝ้ายมัดหมี่ลายดั้งเดิมได้แก่ ลายหอปราสาท ลายกระเบื้องคว่ำ ลายนาคเชิงเทียนและลายประยุกต์ได้แก่ ลายดอกแล้ว โดยส่วนใหญ่ใช้ทอเป็นผ้านุ่ง
บ้านผาน้อย อำเภอวังสะพุง พบการทอผ้าฝ้ายมัดหมี่ลายดั้งเดิมได้แก่ ลายหมี่ โคมห้า ลายนก – ตีนซิ่นลายเอี้ย (ถือว่าเป็นลายเอกลักษณ์ของจังหวัด) และลายประยุกต์ ได้แก่ลายหมี่ใบไผ่ ลายขอ ลายหมี่โคมห้า ลายขิดโบราณและลายขิดดั้งเดิม (นำแนบมาจาก ลายขิด)โดยส่วนใหญ่ ใช้ทอเป็นผ้านุ่ง ผ้าขาวม้า
ลายโคมห้า บ้านผาน้อย อำเภอวังสะพุง
บ้านหนองตูม* ตำบลผาสามยอด กิ่งอำเภอเอราวัณ พบการทอผ้าไหมมัดหมี่ลายดั้งเดิม ได้แก่ ลายหมี่น้ำพอง ลายประยุกต์ได้แก่ ลายดอกแก้ว ลายปีกไก่ ลายปีกไก่น้อยลายหมี่โคมห้า ลายนาคดอกฝ้าย และลายที่คิดขึ้นใหม่ได้แก่ ลายสร้อยพร้าว โดยส่วนใหญ่ใช้ทอเป็นผ้านุ่ง
บ้านสงเปือย ตำบลธาตุ อำเภอเชียงคาน พบการทอผ้าไหมมัดหมี่ลายดั้งเดิม ได้แก่ ลายหมี่ตา ลายหมี่ตุ้มใหญ่ ลายหมี่โคมเก้า ลายหมี่กงสองคลอง (ถือว่าเป็นลายเอกลักษณ์ของที่นี่) และลายประยุกต์ได้แก่ ลายสน ลายนาค โดยส่วนใหญ่ใช้ทอเป็นผ้านุ่ง ผ้าผืนและผ้าขาวม้า
ลายหมี่กงสองคลอง บ้านสงเปือย ตำบลธาตุ อำเภอเชียงคาน
กระบวนการปัญหา และอุปสรรคทางด้านการผลิตและการจำหน่าย
โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ บ้านผานาง-ผาเกิ้ง กิ่งอำเภอเอราวัณ เป็นโครงการพัฒนาพื้นที่ในพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เพื่อช่วยให้ชาวบ้านมีงานทำและมีรายได้ ผ้าที่ทอนั้นเป็นผ้าไหมมีทั้งลายโบราณที่สืบทอดกันมา และลายประยุกต์ เส้นไหนที่ใช้มีทั้งซื้อมา และผลิตขึ้นเอง (มีพื้นที่ปลูกหม่อนประมาณ 10 ไร่) และได้รับพระราชทานจากศูนย์ศิลปาชีพในพระตำหนักจิตรลดาฯ ย้อมสีวิทยาศาสตร์ การทอใช้กี่พื้นบ้าน (กี่ธรรมดา) ผ้าที่ทอสำเร็จแล้วมีการจำน่าย 2 ลักษณะคือ การส่งกลับจำหน่ายยังศูนย์ฯ หรือจำหน่ายเองในร้านค้าของโครงการฯ
จากการสำรวจพบว่าโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่เป็นแหล่งทอผ้าที่มีคุณภาพดีที่สุด เพราะสมาชิกของโครงการได้รับการฝึกอบรมให้มีความเข้าใจเรื่องลวดลายและการใช้สี ทำให้ลวดลายผ้าที่ทอได้มีความหลากหลาย ที่สำรวจพบมีถึง 19 ลาย สมาชิกในโครงการฯ รู้จักการดัดแปลงลวดลายและสีสันที่มีอยู่เดิมให้เกิดเป็นผ้าลายใหม่ได้อย่างหลากหลายสีที่ใช้ในการทอ ส่วนใหญ่ไม่ใช้สีสด แต่มีการเลือกใช้คู่สีที่เหมาะสม โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่จัดเป็นแหล่งผลิตผ้าไหมมัดหมี่ที่มีชื่อเสียงและถือว่าเป็นศูนย์ทอผ้าไหม ครบวงจรโครงการผาบ่าวผาสาวเป็นโครงการในพระราชดำริ ที่ช่วยชาวบ้านมีงานทำมีวิทยากรมาสอนให้ชาวบ้านอนุรักษ์ลายพื้นบ้านไว้ เมื่อทอเสร็จส่วนใหญ่จะส่งเข้าโครงการฯ
ที่บ้านเหมืองแบ่ง ตำบลหนองหญ้าปล้อง และบ้านผาน้อย อำเภอวังสะพุง มีการรวมกลุ่มผู้ทอเป็นกลุ่มสตรีทอผ้า โดยได้รับการสนับสนุนจากพัฒนาชุมชนของอำเภอวังสะพุง ในด้านการจัดหาวัตถุดิบ รูปแบบลายผ้า และเงินลงทุน ปัญหาในปัจจุบันที่พบคือ การขาดตลาดรับซื้อสินค้า
ที่บ้านสงเปือย ตำบลธาตุ อำเภอเชียงคาน และบ้านหนองตม ตำบลผาสามยอด กิ่งอำเภอเอราวัณ ทั้งสองหมู่บ้านก็พบการรวมกลุ่มสตรีทอผ้าเช่นเดียวกันโดยบ้านสงเปือยมีประธาน กลุ่มคือ นางกนกวรรณ ชาวบัวขาว ผ้าที่ทอได้มีการจำหน่ายโดยตรงและจำหน่ายผ่านกลุ่มฯ ลวดลายของผ้าจะมีลักษณะพิเศษเฉพาะของหมู่บ้าน
ผ้าไหมมัดหมี่ลายดั้งเดิม ลายหมี่ตุ้มใหญ่ บ้านสงเปือย อำเภอเชียงคาน

ผ้าแพรวา – จ.สกลนคร


ลายดอกพิกุลน้อย
ลายนาค
ลายดอกพิกุลใหญ่
ลายนาคหัวหย่อน
เอกลักษณ์ ลวดลาย และการใช้ประโยชน์
ที่ศูนย์ศิลปาชีพบ้านบ่อเดือนห้า อำเภอภูพาน และศูนย์ศิลปาชีพบ้านกุดนาขาม อำเภอเจริญศิลป์ พบการทอผ้าไหมแพรวาลวดลายเช่นเดียวกับที่พบในจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยส่วนใหญ่ใช้ทำเป็นผ้าสไบ ผ้าผืนสำหรับตัดชุด และผ้าทอพื้นเรียบ
กระบวนการ ปัญหาและอุปสรรค ทางด้านการผลิตและการจำหน่าย
ที่ศูนย์ศิลปาชีพพิเศษบ้านกุดนาขาม อำเภอเจริญศิลป์ พบว่าผู้ทอผ้าในพื้นที่คือ นางฉวีวรรณ ซึ่งได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ จากสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถให้เข้ารับการอบรมเรื่องการทอผ้าที่ศูนย์ศิลปาชีพในพระตำหนักจิตรลดา ฯ และเมื่อฝีมือดีก็ทรงโปรดให้มาเป็นครูสอนทอผ้าประจำศูนย์ นางฉวีวรรณ เป็นผู้ที่มีความถนัดในการทอผ้าแพรวาอย่างดียิ่งผู้หนึ่งเคยได้รับรางวัลจากการประกวดผ้าประจำปี ณ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร
แหล่งอ้างอิง : http://www.openbase.in.th/taxonomy/term/80?page=17

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ภูมิปัญญาท้องถิ่นของภาคกลาง

ภูมิปัญญาท้องถิ่นภาคกลาง
UploadImage
สังคมไทยในอดีตเป็นสังคมเกษตรกรรม ที่ผู้คนสามารถผลิตปัจจัยในการดำรงชีวิตได้เองเป็นส่วนใหญ่ 
ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินหรือเครื่องไม้เครื่องมือ ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพหรือ คติความเชื่อในการดำรงชีวิตประจำวันก็ตาม   งานจักสานหรือเครื่องจักสานเป็นงานหัตถกรรมและศิลปแห่งภูมิปัญญาของชาวบ้าน ที่เกี่ยวเนื่องกับวิถีชีวิตของคนไทยมาช้านาน 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิถีชีวิตของชาวชนบทในสังคม เกษตรกรรม  เพราะเครื่องจักสานเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำได้ไม่ยาก  และมักใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นมาทำเป็นเครื่องจักสานใช้เป็นภาชนะ ใช้ในครัวเรือน  ทำเป็นเครื่องมือประกอบอาชีพ  และทำเป็นเครื่องเล่นเครื่องแขวนเครื่องประดับในบ้านเรือนได้อีก ด้วย                
งานจักสานเป็นงานหัตถกรรมที่เกิดจากภูมิปัญญาที่ชาวบ้านทำขึ้นเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันมาแต่โบราณกาล 
แม้ในปัจจุบันนี้  งานจักสานหรือเครื่องจักสานก็ยังคงมีการทำกันอยู่โดยทั่วไปในทุกภูมิภาคของ ประเทศ  หรืออาจจะพูดได้ว่าเครื่องจักสานในเมืองไทยนั้นมีทำมีใช้กันในทุกแห่งหนตำบล ก็เห็นจะได้เช่นกัน นอกเหนือจากประโยชน์ใช้สอยแล้ว  งานจักสานยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมภูมิปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ของชาวบ้านได้ เป็นอย่างดี      
จากหลักฐานทางโบราณคดีในประเทศไทย  ทำให้เชื่อได้ว่ามนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่เคยอาศัยอยู่บริเวณประเทศไทย
สามารถทำเครื่องจักสานมาตั้งแต่ยุคหินกลางเมื่อหลายหมื่นปีมาแล้ว  แต่หลักฐานที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่แสดงว่า 
มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์เคยอาศัยอยู่ในประเทศไทยที่บริเวณบ้านเชียง  อำเภอหนองหาน  จังหวัดอุดรธานี 
เมื่อประมาณ 4,000 ปีมาแล้วได้แก่  ภาชนะดินเผาชิ้นหนึ่ง  รูปร่างคล้ายชามหรืออ่างเล็กๆผิวด้านนอกมีรอยของลายจักสานโดยรอบ 
แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ในอดีตรู้จักการทำภาชนะจักสาน แน่นอน แต่ที่ไม่สามารถหาหลักฐานของเครื่องจักสานโดยตรงได้นั้น  เพราะงานจักสานส่วนใหญ่ทำมาจากวัตถุดิบที่เป็นไม้ที่มีอายุขัยเฉลี่ยน้อยผุ ผังย่อยสลายได้ง่ายจึงยากที่จะมีอายุยืนยาวอยู่ได้นานๆ
หลายพันหลายหมื่นปีเช่นภาชนะที่ทำจากดิน  หินหรือโลหะอื่นๆ      
สำหรับงานจักสานนั้นเป็นหัตถกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยมาแต่โบราณ 
โดยเฉพาะเครื่องจักสานจากไม้ไผ่ ที่มีวิถีเกี่ยวข้องกับชีวิตคนไทยนับตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายเลยที่เดียว 
โดยเริ่มตั้งแต่เกิด  คนไทยในชนบทสมัยโบราณจะต้องทำพิธี “ตกฟาก” ให้กับเด็กที่เกิดใหม่ทุกคน คือ 
เมื่อเด็กออกจากครรภ์มารดาจะตกใส่พื้นบ้านที่เรียก ว่า “ฟาก”  ซึ่งทำด้วยไม้ไผ่สับให้แตกแล้วแผ่เรียงกันออกเป็นพื้นเรือนเครื่องผูกหรือ เรือนไม้ไผ่  ดังนั้นเมื้อทารกแรกเกิดมาแล้วตกลงบนฟากหรือพื้นไม้ไผ่คนโบราณจึงเรียกเวลา ที่เด็กเกิดว่า “ตกฟาก” นั่นเอง  แม้ในปัจจุบันพื้นบ้านส่วนใหญ่ในเมืองหรือแม้แต่ในชนบทที่เจริญแล้วจะไม่มี พื้นบ้านที่ทำจากไม้ไผ่หรือฟากแล้ว 
ก็ยังคงเรียกเวลาที่เด็กเกิดกันว่า “ตกฟาก” อยู่เช่นเคย      หลังจากคลอดแล้ว  “หมอตำแย” จะทำพิธี “ร่อนกระด้ง” 
คือหลังจากอาบน้ำทำความสะอาดให้เด็กแรกเกิดที่ผ่านการ “ตัดสายสะดือ”ด้วยการใช้ “ริ้วไม้ไผ่”
ที่ใช้แทนมีดที่เป็นโลหะเพราะอาจทำให้เด็กเกิด บาดทะยักจากการใช้มีดโลหะได้  ภูมิปัญญาชาวบ้านในสมัยโบราณจึงนิยมใช้ “ริ้วไม้ไผ่”ที่มีความคมเช่นเดียวกับมีดโลหะมาตัดสายสะดือให้เด็กแรกเกิดแทน นั่นเอง 
หมอตำแยจะอุ้มเด็กนอนลงบนหลังกระด้งที่มีลักษณะนูนและนุ่มยืดหยุ่นได้ดี 
จากนั้นหมอตำแยจะยกกระด้งขึ้นพอเป็นพิธีแล้ววางกระแทกลงเบาๆให้เด็กตกใจแล้วร้องไห้ 
ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของคนสมัยโบราณที่ทำเพื่อให้เด็ก เกิดความ คุ้นเคยกับการอุ้มของพ่อแม่เด็กนั่นเอง   นอกจากการวางเด็กลงบนกระด้งแล้วคนโบราณยังนำเอาแหที่ใช้ในการหาปลามาโยงคลุม กระด้งที่เด็กนอนอยู่อีกด้วย 
แต่โดยภูมิปัญญาดังกล่าวแล้ว คนในสมัยโบราณต้องการให้เด็กคุ้นเคยกับการใช้สายตามองดูสิ่งที่สามารถมอง เห็นได้ใกล้ๆตัวมากกว่า  โดยมีความเชื่อว่าร่างแหจะป้องกันภูตผีปีศาษไม่ให้เข้ามาทำร้ายเด็กเกิดใหม่ ได้

UploadImage

ที่มา.http://www.nattakarnlks.ob.tc/wisdom16.html

วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ภูมิปัญญาท้องถิ่นภาคใต้

ภูมิปัญญาท้องถิ่นภาคใต้ 
ภูมิปัญญาท้องถิ่นภาคใต้ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันเกิดจากการพัฒนา การปรับตัว ปรับวิถีชีวิตของคนในภาคใต้ที่ประกอบด้วยคนไทยและอีกหลายชาติพันธุ์ที่อยู่ร่วมกันในคาบสมุทรมีคนมาเลย์ คนจีน และคนที่มาจากอินเดียฝ่ายใต้ แต่กลุ่มชนที่มีจำนวนมากที่สุดคือ ไทยสยาม โดยสภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นแหลมทอง มีทะเลกว้างใหญ่ขนาบอยู่ทั้งสองข้าง มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งในทะเล และบนแผ่นดิน อันล้วนเป็นเขตมรสุมใกล้เส้นศูนย์สูตร มีผู้คนหลายชาติ หลายภาษา หลายวัฒนธรรมเดินทางมาทั้งทางบกและทางทะเลเพื่อมาตั้งหลักแหล่ง แสวงหาโภคทรัพย์และทำมาค้าขายเป็นเวลาติดต่อกันยาวนานกว่าพันปี มีการตั้งถิ่นฐานทำมาหากินกันหลายลักษณะ ทั้งบริเวณชายทะเล ที่ราบระหว่างชายทะเลกับเทือกเขา หลังเขา และตามสายน้ำน้อยใหญ่จำนวนมากที่ไหลจากเทือกเขาลงสู่ทะเลทั้งสองด้าน ภูมิปัญญาของภาคใต้จึงมีความหลากหลาย ทั้งที่ได้พัฒนาการจากการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ หรือคนต่างถิ่นที่พกพามาจากแหล่งอารยธรรมต่างๆ จนหลอมรวมกัน เกิดเป็นภูมิปัญญาประจำถิ่น ซึ่งมีอยู่ในหลายลักษณะ คือ
ภูมิปัญญาในด้านการดำรงชีพ
ภูมิปัญญาในด้านความสัมพันธ์และการพึ่งพา
ภูมิปัญญาในด้านหัตถกรรมพื้นบ้าน
ภูมิปัญญาในด้านสมุนไพร
ภูมิปัญญาในด้านทัศนะคติ
ภูมิปัญญาในด้านการปลูกฝังคุณธรรม
ภูมิปัญญาในด้านการดำรงชีพ
การแสวงหาปัจจัยพื้นฐานของการยังชีพถือเป็นสิ่งสำคัญเบื้องต้นของชนทุกชาติทุกภาษา ซึ่งวิธีการจะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม สำหรับชนชาวใต้ที่มีทำเลตั้งถิ่นฐานค่อนข้างหลากหลายคือ มีทั้งที่ราบตามแนวชายฝั่ง ปากอ่าว ท่าเรือ ที่ราบเชิงเขา หลังเขา ตามแนวสายน้ำน้อยใหญ่ บนเกาะ ประกอบกับความอุดมสมบูรณ์ของผืนแผ่นดิน ทำให้ชาวใต้ได้เรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ ความสามารถ อย่างมากมายในการจัดการและปรับตัวให้สามารถดำรงอยู่อย่างกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม ซึ่งมีอยู่หลายประการ คือ
1. การขุดสระน้ำ เพื่อให้ได้น้ำจืดใสสะอาดไว้กินไว้ใช้ตลอดทั้งปี เนื่องจากอยู่ใกล้ทะเล ยามที่น้ำขึ้น น้ำเค็มจะไหลเอ่อเข้ามาในแผ่นดิน จะอาศัยอาบกินก็ไม่สะดวก ดังนั้นจึงเกิดภูมิปัญญาในการหาทำเลขุดบ่อน้ำ ซึ่งบริเวณที่เหมาะสมควรจะเป็นพื้นที่ต่างๆ ดังต่อไปนี้
-บริเวณที่มีหญ้าขึ้นในฤดูแล้ง
-บริเวณที่มีต้นกะพ้อ มะเดื่อ หรือมีจอมปลวก เป็นบริเวณที่มีความชื้นอยู่มาก น้ำใต้ดินอยู่ในระดับตื้น
-ทดสอบโดยใช้กะลามะพร้าวผาซีก ไปคว่ำไว้ตามจุดที่สงสัยว่าจะมีตาน้ำ เมื่อหงายดู ถ้าพบว่ามีหยดน้ำจับอยู่มากก็เชื่อได้เลยว่าตาน้ำอยู่ไม่ลึก
2. การปลูกต้นไม้บริเวณบ้าน ชาวใต้มีความเชื่อทำนองเดียวกันกับภาคอื่นว่าการปลูกต้นไม้ในบริเวณบ้านต้องเลือกปลูกเฉพาะไม้ที่เป็นมงคลและปลูกให้ถูกทิศทาง โดยมีประโยชน์แฝงไว้เพื่อให้เกิดความร่มเย็นทั้งกายใจ ส่วนที่ห้ามปลูกในบริเวณบ้าน เป็นพวกไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขามาก หรือชื่อไม่เป็นมงคล เช่น เต่าร้าง ลั่นทม ความเชื่อนี้เกิดขึ้นโดยอาศัยความรู้ประสบการณ์เกี่ยวกับการโคจรของดวงอาทิตย์ ทิศทางของลมมรสุม ความหนักเบาของฝน ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละวัน รวมถึงความเข้าใจธรรมชาติของต้นไม้ในแต่ละพันธุ์ด้วย
3. การปลูกสร้างบ้านเรือน จะมีลักษณะแตกต่างจากภาคอื่นๆ คือ
-ชาวใต้นิยมแผ้วถางพื้นที่บริเวณบ้านให้เตียนเรียบจนเห็นเป็นพื้นทรายขาวสะอาด มีเหตุผลด้านสภาพแวดล้อมคือ การเดินเข้าออกสะดวก ปลอดภัยจากสัตว์ร้าย เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง ที่มีอยู่อย่างชุกชุม
-บ้านเรือนมีหลังคาเตี้ยลาดชัน ยกพื้นสูง และไม่ฝังเสาลงดิน แต่จะวางอยู่บนตีนเสาที่เป็นก้อนหิน ไม้เนื้อแข็ง หรือ แท่งซีเมนต์หล่อ เนื่องจากฝนตกชุก ทำให้ดินอ่อนตัว โอกาสที่เสาจะทรุดตัวมีได้มาก นอกจากนี้แล้วยังเป็นการป้องกันปลวกและเชื้อรากัดกิน
-ไม่ปลูกบ้านขวางตะวัน นิยมปลูกหันหน้าไปในแนวเหนือใต้ เพื่อหลบแสงแดดที่จะส่องเข้าบ้าน
4. อุบายในการครองชีพ สังคมของชาวใต้มีเคล็ดหรืออุบายในการดำรงชีพและการทำมาหากินตามสภาพแวดล้อมหลายประการคือ
-เครื่องหมายแสดงเจตจำนง แต่เดิมชาวใต้ไม่รู้หนังสือหรือแม้จะรู้บ้าง แต่การสื่อความหมายโดยใช้เครื่องหมายบอกเจตจำนงก็ยังนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ยอมรับเป็นกติกาแห่งสังคมที่อยู่กินกันแบบพึ่งพาอาศัย ที่นิยมใช้กัน คือ เครื่องหมาย ห้าม” “ขอ” “ขัดใจ
ห้าม หรือภาษาถิ่นที่เรียกว่า ปักกำ กาหยัง หรือ กาแย เป็นเครื่องหมายที่จะนำไปปักไว้ในที่หวงห้าม เช่น ห้ามจับปลาในหนองน้ำ ห้ามนำวัวควายเข้ามากินหญ้า
ขอ เป็นเครื่องหมายที่จะนำไปปักไว้ในที่ที่ต้องการจะขอจากเจ้าของ แต่ไม่มีโอกาสร้องขอด้วยวาจา เช่น ขอเข้าไปแผ้วถางป่าเพื่อปลูกพืชผล
ขัดใจ เป็นเครื่องหมายที่ใช้คู่กับเครื่องหมาย ห้าม เพื่อเพิ่มน้ำหนัก ถ้ามีการละเมิดก็จะต้องมีการขัดใจกัน
-ชาวไทยพุทธในภาคใต้ไม่นิยมกินเนื้อกระบือ เนื่องจากเป็นสัตว์มีคุณที่ได้อาศัยทำมาหากิน จึงไม่ควรฆ่ากิน
-ชาวใต้จะเกี่ยวข้าวโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า แกะ เพื่อเก็บเอาเฉพาะรวงเท่านั้น เพราะข้าวที่เก็บเกี่ยวเป็นพันธุ์ต้นสูง สำหรับหนีน้ำ บางครั้งต้องพายเรือเกี่ยวข้าว
-ชาวใต้นิยมกินผักสด หรือที่เรียกว่า ผักเหนาะ เนื่องจากภาคใต้อุดมไปด้วยพืชผักพื้นบ้านนานาชนิด ที่สะอาด ปลอดภัยจากสารพิษ มีคุณค่าทางด้านโภชนาการสูง อีกทั้งยังเป็นสมุนไพร ช่วยบำรุงร่างกาย รวมทั้งช่วยตัดทอนความเผ็ดร้อนของอาหาร เมื่อประกอบกับอาหารประเภทอื่นที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ทั้งหอย ปู กุ้ง ปลา ทำให้คนใต้มีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
ภูมิปัญญาในด้านความสัมพันธ์และการพึ่งพา
จากสภาพภูมิศาสตร์ของภาคใต้ที่มีอยู่อย่างหลากหลายเป็นตัวกำหนดสำคัญที่ทำให้ชุมชนแตกต่างไปจากภาคอื่นๆ ทั้งลักษณะการตั้งถิ่นฐาน และการทำมาหากิน อย่างสำคัญประการหนึ่งคือชุมชนต่างๆ ของชาวใต้ ไม่อาจอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาตนเองโดยลำพัง ชาวสวนผลไม้ สวนยาง และเหมืองแร่ในป่า ต้องการข้าว กะปิ น้ำปลา กุ้งแห้ง จากหมู่บ้านพื้นราบหรือชายฝั่ง ขณะเดียวกันหมู่บ้านเหล่านี้ก็ต้องการของป่า เครื่องเทศ สมุนไพร ฟืนจากป่าเขา การไปมาหาสู่กันเพื่อแลกเปลี่ยนข้าวปลาอาหารของกินของใช้จึงเป็นสิ่งจำเป็นและได้ทำต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาช้านาน ก่อให้เกิดกลไกความสัมพันธ์และการพึ่งพาระหว่างคนต่างชุมชน ซึ่งเป็นแบบฉบับของชนชาวใต้ดังเช่นปัจจุบัน มีดังต่อไปนี้
1. ธรรมเนียมการเป็นเกลอกัน มักจะทำกันตั้งแต่ยังเล็กๆ โดยพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายจัดการให้ เพราะต้องการสานมิตรไมตรีที่ผูกพันกันอยู่ก่อนแล้วให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แต่ก็มีไม่น้อยคู่ที่ยินดีเป็นเกลอกันเองเพราะได้รู้จักมักคุ้นกันเป็นพิเศษ เมื่อเป็นเกลอกันแล้วญาติของทั้งสองฝ่ายต่างให้ความรักใคร่ผูกพันคู่เกลอเสมือนญาติคนหนึ่ง
2. วันนัด เป็นวันที่จัดให้มีตลาดนัดขึ้นเพื่อชุมชนจะได้ซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนผลผลิตทางการเกษตรที่ผลิตได้ในท้องถิ่นนั้นๆ โดยกำหนดสถานที่หมุนเวียนกันไป นอกจากนี้แล้วยังใช้เป็นวันนัดหมายพบปะกันแทนการใช้ปฏิทิน สำหรับชี้แจงข้อราชการ หรือกิจกรรมพัฒนาท้องถิ่นต่างๆ
3. วันว่าง จะตรงกับวันสงกรานต์ของภาคอื่นๆ แต่ธรรมเนียมปฏิบัติจะแตกต่างกัน โดยตลอดระยะเวลาวันว่าง ทุกครัวเรือนจะหยุดทำมาหากิน ไม่ด่าว่าร้ายใคร ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ดูแลบ้านเรือนของตนให้สะอาด รักษาอารมณ์ให้แจ่มใส แสดงกตเวทีต่อผู้ใหญ่ด้วยการรดน้ำดำหัว และตักบาตรฟังธรรม
4. กินงาน กินวาน ข้าวหม้อแกงหม้อ เป็นวัฒนธรรมการพึ่งพาของชาวใต้โดยใช้ธรรมเนียมการกินเป็นตัวชักนำให้เกิดการร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือเกื้อกูลกันในงานที่แต่ละครอบครัวไม่สามารถทำเองได้ เช่น งานศพ งานบวช เกี่ยวข้าว ทอดกฐิน และทอดผ้าป่า 
ภูมิปัญญาในด้านหัตถกรรมพื้นบ้าน
หัตถกรรมพื้นบ้านภาคใต้เป็นภูมิปัญญาและเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของสังคมเกษตรกรรมที่ได้มีการสืบสานความรู้ ความสามารถและความชำนาญต่างๆ มายังคนรุ่นปัจจุบัน สิ่งใดประดิษฐ์ขึ้นใช้แล้วไม่ได้ผลหรือมีสิ่งอื่นที่ดีกว่าก็จะเสื่อมสลายไป สิ่งใดใช้ได้ดีและสะดวกต่อการผลิตสิ่งนั้นก็ยังคงอยู่ อีกทั้งยังมีการสอดแทรกคุณค่าทางด้านศิลปะลงในงานด้วย หัตถกรรมพื้นบ้านภาคใต้เป็นการนำเอาวัตถุดิบในธรรมชาติ โดยเฉพาะพืชพรรณที่มีอยู่อย่างมากมาย ทั้งบนบกและในน้ำ เช่น ไม้ไผ่ หวาย กระจูด กก มะพร้าว ลิเพา รวมถึงปาล์ม นำมาดัดแปลงเป็นเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น
-ไม้ไผ่ ลำต้นสามารถใช้เป็นส่วนผสมของยาหลายขนาน เป็นแร้วดักสัตว์ ทำตะกร้า กระบุง เข่ง ชลอม และทำแพ ส่วนหน่อใช้ปรุงเป็นอาหาร
-มะพร้าว รากสามารถใช้ทำยา ลำต้นใช้ทำเสาและเครื่องเรือน ผลนำมารับประทานหรือปรุงอาหาร ใบใช้ห่อของหรือทำไม้กวาด
-ย่านลิเพา นำมาทำของใช้ ที่นิยมกันได้แก่ นหมาก กล่องยาเส้น พาน และหมวก มีราคาค่อนข้างสูง เพราะเป็นงานจักสานที่ต้องใช้ความประณีตบรรจง
-ปาล์ม หรือ หมาก ใช้ทำภาชนะตักน้ำที่เรียกว่า หมา” โดยทำมาจากส่วนที่เป็นกาบหรือใบ สามารถใช้ตักหรือวิดน้ำได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้แล้วยังมีงานหัตถกรรมที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ เหล็กขูด หรือ กระต่ายขูดมะพร้าว สำหรับนำเนื้อมะพร้าวมาทำอาหารทั้งคาว-หวาน โดยจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามจินตนาการของผู้ประดิษฐ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะทำเป็นรูปสัตว์ แสดงให้เห็นถึงความมีอารมณ์ขันและมีวัฒนธรรมการรับประทานที่ผูกพันอยู่กับมะพร้าวซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญในดินแดนแถบนี้
ภูมิปัญญาในด้านสมุนไพร
ตั้งแต่อดีตกาลภาคใต้เป็นดินแดนที่มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย แม้ในปัจจุบันจะได้นำไปใช้บ้าง แต่ก็ยังคงความอุดมสมบูรณ์และเต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ความรู้และประสบการณ์ของบรรพบุรุษในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรได้ถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง สมุนไพรถือเป็นภูมิปัญญาที่ชาวใต้ได้รับการถ่ายทอดมาจนปัจจุบัน ด้วยเหตุที่ชาวใต้ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับป่าดงพงไพร ความจำเป็นเมื่อเจ็บป่วยบังคับให้คนเหล่านี้ต้องเสี่ยงชีวิตเก็บเอาสิ่งต่างๆ ทั้งที่เป็น พืช สัตว์ หรือสินแร่ มาทดลองใช้ในลักษณะลองผิดลองถูก จนประจักษ์แจ้งในสรรพคุณของสิ่งที่ใช้บำบัดรักษา ดังเช่น พวกเงาะป่า ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งขุนเขาและมีความชำนาญในเรื่องสมุนไพร สิ่งที่พวกเขานำมาใช้เป็นสมุนไพรทั้งที่เป็นยาบำบัดและยาบำรุง อันมีคุณภาพดีเป็นที่ต้องการของคนกลุ่มอื่น ได้แก่ ยาแก้ปวดเมื่อย พวกเงาะจะเรียกว่า เลาะเคาะ” เป็นพืชคล้ายต้นฝรั่ง ใช้ต้มเอาน้ำมานวดบริเวณที่ปวดเมื่อย ยาคุมกำเนิด เป็นรากไม้ให้ผู้หญิงแทะกินหรือกินกับหมาก ยาเสริมกำลังทางเพศ หรือ ตาง๊อต” มีลักษณะคล้ายหัวเผือก เปลือกสีขาว ใช้กินสดหรือแห้งก็ได้ โดยส่วนใหญ่แล้วยาขนานต่างๆ เหล่านี้เป็นการใช้สมุนไพรเพียงชนิดเดียวในทำนองเดียวกันคนไทยพุทธ ไทยมุสลิม คนไทยเชื้อสายจีน ก็ย่อมเก็บสะสมความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารและยาที่มีคุณค่าต่อร่างกาย โดยการบอกกล่าวกันต่อๆ มา หรือได้ทดลองด้วยตัวเอง เริ่มจากของใกล้ตัว เช่น หอม กระเทียม ขิง ข่า ตะไคร้ จนขยายขอบเขตกว้างขวางออกไปเป็นการใช้พืชพรรณในป่า นอกจากนั้นการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับคนต่างชาติพันธุ์ ล้วนเป็นการขยายฐานความรู้และเกิดการพัฒนาปรับปรุงเป็นยาขนานต่างๆ มากขึ้น เช่น ยากระชับลำไส้ ซึ่งเป็นส่วนผสมของสมุนไพรหลายชนิด ใช้ขับลมในกระเพาะอาหาร ยากำลังราชสีห์ เป็นส่วนผสมของดอกไม้หลายชนิด ใช้สำหรับหญิงที่แต่งงานแล้วมีบุตรยากช่วยให้มีบุตรได้ ยาแก้โรคไต เป็นส่วนผสมของรากไม้หลายชนิดดองกับเหล้าขาว ใช้บรรเทาอาการปวดหลัง ปวดเอว นอกจากนี้แล้วเพื่อให้เกิดผลในทางจิตวิทยา หรือเป็นกำลังใจให้กับคนป่วย อาจจะมีการร่ายเวทมนต์คาถาประกอบ
ภูมิปัญญาในด้านทัศนคติ
โดยภาพรวมแล้วทัศนคติต่อสิ่งแวดล้อมของชาวใต้มิได้แตกต่างไปจากภูมิภาคอื่นเท่าใดนัก เว้นแต่จะผูกพันแนบแน่นอยู่กับธรรมชาติที่เป็นคาบสมุทร รวมทั้งการได้แลกเปลี่ยนสังสรรค์กับคนจากวัฒนธรรมอื่นอย่างต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานับพันปี ทำให้เกิดการผสมผสานของวัฒนธรรมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสภาพดังกล่าวนี้เป็นลักษณะเด่นที่มีอิทธิพลต่อทัศนคติที่เป็นภูมิปัญญาเฉพาะถิ่น และถือปฏิบัติเป็นบรรทัดฐานของชาวใต้ ดังเช่นต่อไปนี้
1. ด้านสิ่งแวดล้อม คนในภาคใต้มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับธรรมชาติในลักษณะที่ได้รับการเกื้อกูลจากธรรมชาติอย่างล้นเหลือมาแต่อดีต เพียงแค่เก็บเกี่ยวเอาทรัพยากรที่มีอยู่มากินใช้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองก็อยู่ได้อย่างสบายโดยไม่ต้องใช้ความพยายามเป็นพิเศษเหมือนกับภูมิภาคอื่น ในทัศนะของชาวใต้ คนจึงมีสถานะเป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติที่ยอมรับอิทธิพลของธรรมชาติ จะเห็นได้จากการปลูกสร้างบ้านเรือน การทำมาหากิน ดังนั้นคนที่นี่จึงเคารพธรรมชาติ จะทำการสิ่งใดเพื่อการครองชีพก็จะบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องคุ้มครองอยู่ ดังจะเห็นได้จากพิธีกรรมต่างๆ เช่น
-พิธีขอป่า เป็นพิธีกรรมที่ชาวบ้านภาคใต้ทำขึ้นเพื่อขอตัดไม้ในป่า สำหรับปลูกสร้างบ้านเรือนหรือที่ทำกิน โดยการนำอาหารคาวหวานพร้อมกับตัดกิ่งไม้เป็นรูปตะขอมาเซ่นไหว้เจ้าป่าเจ้าเขา แล้วอธิษฐานขออนุญาตเข้าถางป่า
นอกจากนี้แล้วการแสดงออกถึงการยอมรับนับถือความสำคัญของธรรมชาติและปรับตัวให้สอดคล้องกับธรรมชาติยังเห็นได้ในพิธีกรรมการเคารพแม่โพสพ เคารพขุนเขา และเคารพแผ่นดินเกิดด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ พืชพรรณธัญญาหารที่มีอยู่ทั่วไปไม่ขาดแคลน ประกอบกับความศรัทธาในศาสนาที่สอนให้ไม่โลภ ไม่สะสม หมั่นทำบุญทำทาน เมื่อเปรียบเทียบกับคนในภูมิภาคอื่น คนใต้จึงดูสมถะ เรียบง่าย เพียงพอแล้วในปัจจัยสี่ จุดมุ่งหมายของชีวิตไม่ได้หยุดอยู่ที่การกินอยู่อย่างมั่งคั่ง หากแต่จะอยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติให้มากที่สุด
2. การปกครอง ตลอดสองศตวรรษที่ผ่านมาหัวเมืองปักษ์ใต้มิได้ถูกปกครองอย่างใกล้ชิดจากเมืองราชธานี แต่จะอาศัยเมืองหลักอย่างนครศรีธรรมราชและสงขลาเป็นศูนย์กลางปกครองดูแลอีกต่อหนึ่ง ฉะนั้นความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างเมืองหลวงกับหัวเมืองปักษ์ใต้จึงไม่ใช่การรวมศูนย์อำนาจอย่างเข้มข้น หัวเมืองต่างๆ มีอิสระในการปกครองและดูแลกันเอง ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นแบบนี้ทั้งหมด แต่หลายๆ หมู่บ้านก็เกิดจากการสร้างตัวด้วยลำแข้งของตนเองท่ามกลางสภาพธรรมชาติที่เกื้อกูลเป็นอันดี ชาวใต้จึงมีทัศนะในการปกครองแบบพึ่งพาตนเอง รักอิสระ รักความเป็นธรรม
3. สถานภาพ สังคมของคนชาวใต้ให้ความสำคัญกับเพศชายสูงกว่าเพศหญิง ขณะเดียวกันก็มีความคาดหวังให้ผู้หญิงเป็นผู้มีคุณค่าสมเป็นกุลสตรีไทย ซึ่งมีทัศนะต่างๆ ดังต่อไปนี้
-การยกย่องบุรุษเพศในการเป็นหัวหน้าครอบครัว พร้อมกันนั้นก็คาดหวังว่าบุรุษต้องเป็นผู้มีความรู้ มีคุณธรรม และต้องเป็นคนจริง คือ เชื่อถือได้ไม่เหลวไหล
-ในการยกย่องบุรุษเพศ ชาวใต้นิยมนับถือ นักเลง ซึ่งหมายถึงผู้ที่มีบุคลิคพิเศษ มีน้ำใจ เป็นคนใจกว้าง กล้าได้กล้าเสีย รักษาคำพูด รักพวกพ้อง ซึ่งในท้องถิ่นที่ฝ่ายปกครองดูแลไม่ทั่วถึง นักเลงจะทำหน้าที่ดูแลจัดการให้ท้องถิ่นมีความสงบเรียบร้อย พร้อมๆ กับคอยปกปักรักษาผลประโยชน์ของตนเองและบริวาร ไม่ให้นักเลงถิ่นอื่นเข้ามารังแก
-ชาวใต้ให้คุณค่าต่อพรหมจารีของผู้หญิงสูงมาก โดยยึดถือกันทั่วไปว่า สตรีต้องรักนวลสงวนตัว ประพฤติตนเรียบร้อย สำรวมกริยามารยาท มีความเป็นแม่ศรีเรือน ข้อยึดถือเหล่านี้ทำให้ผู้หญิงภาคใต้จะไม่สนทนาปราศรัยกับคนแปลกหน้าหรือคนที่ไม่น่าไว้วางใจ ฝ่ายผู้ชายก็จะไม่มีนิสัยพูดจาแทะโลมผู้หญิง
การปลูกฝังคุณธรรม
ในความเป็นสังคมเปิดที่มีเครือข่ายระบบความสัมพันธ์กว้างขวางและต้องปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลง พร้อมๆ กับการที่ต้องรักษาความเชื่อแบบธรรมเนียมที่เป็นบรรทัดฐานของสังคมไว้เพื่อให้การดำเนินชีวิตราบรื่นผาสุขตามครรลองที่สืบทอดกันมา สังคมชาวใต้จึงมีกรรมวิธีปลูกฝังรักษาความเชื่อและบรรทัดฐานของสังคมไว้ในหลายๆ วิธี ด้วยการอาศัย บ้าน ชุมชน วัด พิธีกรรม วรรณกรรมท้องถิ่น เป็นตัวถ่ายทอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งวรรณกรรมคำสอน สุภาษิต ตลอดจนการละเล่นต่างๆ เมื่อคนเติบโตขึ้นท่ามกลางค่านิยมและแบบอย่างความประพฤติ ในสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมและกิจกรรมตามขนบประเพณีที่ได้ทำหน้าที่ถ่ายทอดหรือตอกย้ำ ก็จะเกิดการซึมซับรับเอาโดยอัตโนมัติ ซึ่งชาวใต้มีวิธีการปลูกฝังและรักษาบรรทัดฐานของสังคมดังนี้
1. เพลงกล่อมเด็ก สังคมภาคใต้เป็นสังคมเกษตรกรรมเน้นการบอกเล่ามากกว่าการอ่าน การปลูกฝังจึงเริ่มตั้งแต่เยาว์วัยด้วยการอบรมเลี้ยงดูในบ้านอันประกอบด้วย พ่อแม่ และเครือญาติ ด้วยน้ำเสียงที่เห่กล่อมก่อให้เกิดความอบอุ่นและสุขกายสบายใจแก่เด็กอ่อน ส่วนเนื้อหาที่แฝงอยู่ด้วยเรื่องคุณธรรมเป็นสิ่งที่ต้องการจะสื่อให้กับเด็กโตที่พอจะเข้าใจ รวมทั้งวงศาคณาญาติที่ได้ยินได้ฟัง
2. วรรณกรรมคำสอนและสุภาษิต สังคมภาคใต้มีวรรณกรรมที่ยึดหลักคำสอนของพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ อาจจะมีการสอดแทรกคตินิยมพื้นบ้านไว้ด้วยโดยประสมประสานกันไป ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือแนะนำสั่งสอนจริยธรรม ค่านิยม ให้คนในสังคมทุกลำดับชั้น ดังเช่น
-สุภาษิตร้อยแปด พุทธภาษิต ต้นสมุดสุภาษิต เป็นวรรณกรรมที่ใช้สำหรับสอนบุคคลทั่วไป ให้รู้จักประมาณตน เว้นจากอบายมุข มีคุณธรรม
-ปริศนาสอนน้อง สุภาษิตสอนหญิงคำกาพย์ เป็นวรรณกรรมที่ใช้สำหรับสอนสตรี ให้มีมารยาทดีงาม
-พาลีสอนน้อง เป็นวรรณกรรมที่ใช้สำหรับสอนขุนนางข้าราชการ ให้จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ รักเกียรติและศักดิ์ศรี เป็นที่พึ่งของประชาชน
-พระอนิจจลักขณุกถา เป็นวรรณกรรมที่ใช้สำหรับสอนพระสงฆ์ ให้เคร่งในศีลในธรรม
3. ไหว้ดี เป็นประเพณีเก่าแก่ที่ได้กลายเป็นกิจวัตรส่วนหนึ่งของชาวภาคใต้เพราะเชื่อว่าเมื่อไหว้แล้วจะเป็นมงคลแก่ตัวเองและนำความสวัสดีมีชัยมาให้ โดยเป็นการสวดเพื่อระลึกถึงคุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ให้ช่วยคุ้มครองและบันดาลให้สัมฤทธิ์ผลในกิจที่ปรารถนา
4. พิธีลอยเคราะห์ คนไทยภาคใต้มีความเชื่อตามศาสนาพราหมณ์ว่า คนเราทุกคนมีช่วงเวลาที่ดาวพระเคราะห์มาเสวยอายุ ยามใดที่ดาวพระเคราะห์มาเสวยอายุก็จะเกิดโทษกับผู้นั้น อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย หรือมีเหตุการณ์ร้ายๆ มากระทบต่อการดำเนินชีวิตของตัวเองและญาติมิตร ดังนั้นจึงนิยมลอยเคราะห์เพื่อให้ตนพ้นจากเคราะห์กรรมนั้น ด้วยการนำต้นกล้วยมาทำเป็นแพ แล้วเอาผม เล็บ ขี้ไคล รวมทั้งดอกไม้ ธูปเทียน ใส่ในแพลอยน้ำไป
5. การสื่อข่าวสาร การละเล่นของชาวบ้านภาคใต้ที่สืบทอดกันมา ทั้งหนังตะลุง โนรา เพลงบอก คำตัก ตลอดจนลิเกป่า ล้วนแต่มีบทบาทต่อสังคม ซึ่งนอกเหนือจากความบันเทิงแล้วยังทำหน้าที่กระจายข้อมูลข่าวสาร ให้ความรู้ท่วงทันต่อสถานการณ์บ้านเมืองและความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ศิลปะการแสดงเหล่านี้มีจุดเด่นอยู่ที่ท่วงทำนอง จังหวะ ถ้อยคำสำนวนที่เต็มไปด้วยปฏิภาณไหวพริบ และน้ำเสียงอันก่อให้เกิดความหรรษา ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้เข้าถึงความสนใจของชาวบ้านมากกว่าสื่อธรรมดา

โจ/กะโจ/กาโจ

ลักษณะความเชื่อ
โจเป็นตัวอย่างของความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ ที่ทำขึ้นเพื่อใช้ป้องกันปัญหาการ ลักขโมยผลไม้ในสวนเนื่องจากการแขวนโจที่ต้นไม้จะเป็นการบอกให้รู้ว่าได้มีการกำกับคาถาอาคมไว้ หากผู้ใดเก็บผลไม้จาก
ต้นที่มีการแขวนโจไปรับประทาน จะทำให้เจ็บป่วย เกี่ยวกับโรคทางเดินอาหารในลักษณะต่าง ๆ เช่น ปวดท้อง ท้องบวม ท้องป่อง โดยไม่รู้สาเหตุ และตายในที่สุดจากอิทธิฤทธิ์ของคาถาอาคมที่ลงกำกับไว้ซึ่งมัก
เป็นภาษาขอมโบราณ ในการทำพิธีกรรมใช้ผ้าขาว ดอกไม้และธูปเทียน ตั้งพิธี บริกรรมคาถาลงอักขระกำกับในของที่ใส่ หลังจากนั้นห้ามเข้าในสวนที่มีโจอยู่ มีกำหนด ๓-๗ วัน
ความสำคัญ
ในอดีตการนำโจไปแขวนตามต้นไม้ที่มีผลไม้รอการเก็บสามารถลดปัญหาการถูกลอบเก็บผลไม้เป็นอย่างดีแต่ปัจจุบันความเชื่อดังกล่าวลดลง เนื่องจากกระแสสังคมสมัยใหม่การใช้โจแขวนตามต้นไม้จึงสามารถพบเห็นได้เฉพาะในท้องถิ่นห่างไกลบ้างประปราย
พิธีกรรม
โจเป็นวัตถุทางไสยศาสตร์ที่ทำจากวัสดุทรงกระบอก หรือทรงกลมภายในบรรจุด้วยหมากพลู ๓ คำ ห่อด้วยผ้าขาวผูกด้วยผ้าแดง กากบาทด้วยปูนแดงที่ใช้กินหมาก และมีการว่าคาถาอาคมกำกับ นำไปแขวนไว้ตามกิ่งไม้ ของต้นไม้ที่ต้องการ ซึ่งมักมีผลไม้รอการเก็บ เกี่ยวผล เช่น เงาะ มังคุด ส้มโอ ละมุด เป็นต้น หรืออาจนำโจฝังดิน โดยใช้ไม้ปักบนต้น ๓ อัน ใกล้กับพื้นที่หวงห้าม เอาด้ายสีแดงและสีขาวผูกกับต้นไม้แล้วเอาส่วนที่เหลือมาผูกกับ ไม้หลัก ๓ อัน โดยเอาปลายเส้นด้ายทั้งสีแดงและสีขาวฝังดิน
สาระ
การนำโจมาใช้กับสังคมเกษตรกรรม เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อ และนำจิตวิทยามาช่วยดูแลรักษาผลผลิตของเกษตรกร ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ในบางพื้นที่ที่สังคมยังไม่รับเทคโนโลยีสมัยใหม่มากเหมือนสังคมเมือง
เครื่องตักน้ำ (ก้าน้ำ)
องค์ความรู้
ทำด้วยไม้หรือเหล็กวางไว้บนฐาน ๒ ข้างบริเวณปากบ่อน้ำ ใช้เหล็กเป็นแกนกลางและอีกด้านหนึ่งจะมีเหล็กไว้สำหรับหมุน ใช้เชือกพันรอบไม้หรือเหล็กตามความลึกของบ่อ ปลายเชือกผูกถังสำหรับตักน้ำ เมื่อต้องการตักน้ำ จะปล่อยถังลงไปในบ่อ โดยหมุนหย่อนลงไปจนถึงน้ำในบ่อ แล้วหมุนขึ้นมา สามารถช่วยทุ่นแรงได้เป็นอย่างดี
ประโยชน์
ใช้ตักน้ำ จากบ่อน้ำลึก ๆ ได้ สะดวกและทุ่นแรง นิยมใช้กันมากในชนบทในอดีตที่ยังไม่มีไฟฟ้าหรือเครื่องสูบน้ำแม้ในปัจจุบันก็ยังคงใช้ในพื้นที่ที่ไฟฟ้ายังเข้าไปไม่ถึง
 ยาสมุนไพรซาไก
ซาไก
เป็นชนชาวป่าเผ่าหนึ่ง อาศัยอยู่ถิ่นทางภาคใต้ของประเทศไทยแถบจังหวัดพัทลุง สตูล ยะลา นราธิวาส และในเกาะสุมาตรา มาเลเซียแถบรัฐปาหังและเคดาห์บางถิ่นก็เรียกว่าพวก"เงาะ"มีชีวิตความเป็นอยู่ง่ายๆแบบชนดั้งเดิมเมื่อเจ็บป่วยก็ไม่นิยมรักษาในโรงพยาบาล ถึงแม้จะมีคนพาเข้ารักษาก็ตามเขาจะรักษากับหมอประจำเผ่าของเขา ซึ่งมี๒คน พวกเขาให้ความนับถือ คือ หัวหน้าเผ่า รองลงมาก็คือหมอ
วิธีการ
ชาวซาไกมีความรู้ความชำนาญในการใช้ยาสมุนไพรมาก อาทิเช่น ยาสมุนไพรของชาวซาไกนั้น นับได้ว่าเขาเป็นเจ้าแห่งสมุนไพรนานาชนิดทีเดียว พวกเขามีความรู้ความชำนาญในเรื่องยาสมุนไพร อาทิ เช่นยาคุมกำเนิด ภาษาซาไกเรียกว่า "อัมม์"เป็นรากไม้แข็งๆให้ผู้หญิงรับประทานกับหมากหรือแทะรับประทานเฉยๆก็ได้มีสรรพคุณในทางคุมกำเนิดถ้าต้องการมีลูกเมื่อใดก็หยุดรับประทานยาให้มีลูก เป็นรากไม้แข็ง ๆ ให้ผู้หญิงกินกับหมากหรือแทะรับประทานก็ได้ มี ๒ ขนาน คือ ขนานที่หนึ่งเรียกยา "มักม็อก" ขนานที่สองเรียก "ยังอ็อน"ยาเสริมพลังเพศ เรียกชื่อว่า "ตาง็อต" มีลักษณะเป็นหัวคล้ายหัวเผือก เปลือกสีขาว เนื้อสีขาว มีรสมันใช้แทะรับประทานหรือดองสุรา จะทำให้พลังเพศแข็งแกร่งกระชุ่มกระชวยดีนักยาเสน่ห์ เป็นน้ำมันเสน่ห์ของซาไก เป็นที่เลื่องลือกันว่ามีคุณภาพดีทำจากน้ำมันมะพร้าวเสกคาถาวิธีใช้ให้เอานิ้วแตะน้ำมันแล้วเอาไปแตะข้างหลังของคนที่เรารักให้ตรงหัวใจภายใน๓วัน๗วันคนที่ถูกแตะจะต้องคลุ้มคลั่งวิ่งมาหานอกจากนี้ยังมียาสมุนไพรของชาวซาไกมีอีกมากมายหลายขนาน เช่น ยาแก้เมื่อย ยาแก้เจ็บเส้น เป็นต้น
ประโยชน์
ซาไกเป็นชาวป่าที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งสมุนไพร เนื่องจากมีความชำนาญเป็นพิเศษในเรื่องเครื่องยาสมุนไพร ซาไกจะใช้สมุนไพรรักษาโรคต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี และยังแพร่หลายไปยังชุมชนละแวกนั้น ๆ ด้วย ชาวซาไกจะเรียกชื่อสมุนไพรตามคุณภาพที่รักษา เช่น ยาไข่เหล็ก ผู้ชายแทะกินจะทำให้กระชุ่มกระชวยมีสมรรถภาพทางเพศได้ ยาคุมกำเนิด (ยาไม่ให้มีลูก) เป็นต้น
การรักษากระดูกของพ่อท่านสุข สุธรรมโม

พ่อท่านสุข สุธรรมโม หรือพระครูสุธรรมาภิราม มีชื่อเดิมว่า นายสุข ขาวระนอง เริ่มบวชเป็นพระภิกษุเมื่ออายุ ๓๑ ปี จำพรรษาที่วัดปากภู่ ๑พรรษาย้ายมาอยู่ที่วัดรมณีย์อำเภอกะปงจังหวัดพังงาเมื่อพ.ศ.๒๕๒๑และได้เป็นเจ้าอาวาสวัดรมณีย์เมื่อพ.ศ.๒๕๒๒จนถึงปัจจุบัน(๒๕๔๑)
องค์ความรู้
ท่านได้ศึกษาความรู้ทางด้านการรักษากระดูกมาก่อนที่จะบวชเป็นพระภิกษุคือเริ่มเรียนตั้งแต่ประมาณอายุ๒๐ปีโดยศึกษาจากอาจารย์ที่คนทั่วไปเรียกว่า "ตาเจ้าดำบอด" ทว่ายังไม่รักษาผู้ป่วยแต่อย่างใด เมื่อบวชเป็นพระภิกษุและได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดรมณีย์แห่งนี้ เนื่องจากเป็นชนบททำให้มีโอกาสใกล้ชิดชาวบ้านเป็นที่นับถือของคนทั่วไปครั้งหนึ่ง มีเด็กตกต้นไม้ขาหัก ได้มาหาท่านในวัดเพื่อช่วยดูอาการ เนื่องจากพ่อแม่ของเด็กเป็นคนยากจน ประกอบกับท่านมีความรู้ในการรักษากระดูกอยู่ก่อนแล้วจึงได้ทดลองรักษา ปรากฏว่าหาย จึงเริ่มมีชื่อ
เสียงตั้งแต่นั้นมา ทำให้ชาวบ้านในจังหวัดพังงาและจังหวัดสุราษฎร์ธานีนิยมนับถือท่านมากจนถึงทุกวันนี้
ขั้นตอนในการรักษากระดูก
๑. ขั้นตอนการเตรียมการ
๑.๑ มนต์น้ำมัน จะเคี่ยวและปลุกเสกน้ำมันใส่ขวดไว้ ส่วนผสมของน้ำมันได้แก่ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันงา น้ำมันงูเหลือม น้ำมันคูรำ
๑.๒ ทำเฝือก เหลาไม้ไผ่ทำเฝือก เสร็จแล้วเสกด้วยพระคาถาบท ประสานบาตร
๒. ขั้นการรักษา
เมื่อผู้ป่วยมาหาจะปฏิบัติดังนี้
๒.๑ ผู้ป่วยต้องจัดหมาก๓คำพร้อมเงิน๓บาทถวายให้พ่อท่านสุขเป็นค่ายกครูโดยปกติผู้ป่วยไม่ได้เตรียมมาล่วงหน้าแต่จะจัดเตรียมในวัดขณะมาหาพ่อท่านสุขนั้นเอง
๒.๒ ประพรมน้ำมนต์ โดยพ่อท่านสุขจะประพรมน้ำมนต์ให้กับผู้ป่วย เพื่อขับไล่เสนียดต่างๆที่จะติดมากับตัวผู้ป่วย เพราะคนป่วย ถือว่า"ปรอง"(คือไม่มีเทวดาคอยคุ้มครองรักษาในขณะนั้น) สิ่งไม่ดีอื่นๆจึงอาจแทรกเข้ามาในตัวได้ง่ายจึงต้องประพรมน้ำมนต์เป็นการขับไล่
๒.๓ตรวจอาการโดยคลำดูเพื่อจะได้ทราบว่ากระดูกส่วนนั้นแตกร้าวหลุดหรือหักเมื่อทราบแล้วจึงจัดกระดูกให้เข้าที่โดยการคลึงและดึงกระดูกเพื่อให้เข้ารูปตามสภาพปกติ
๒.๔ ถ้าผู้ป่วยรายใดมีแผลจะรักษาแผลก่อนเมื่อแผลหายแล้วจึงเข้าเฝือก
๒.๕ ใช้ผ้าก๊อซพันที่บริเวณที่บาดเจ็บให้หนาพอประมาณแล้วจึงห่อด้วยเฝือกไม้ไผ่ที่เตรียมไว้
๒.๖ การราดน้ำมัน เมื่อห่อเฝือกเรียบร้อยแล้วจะราดน้ำมันให้พร้อมกับเสกคาถากำกับเป็นอันเสร็จพิธีและให้ไปพักผ่อนในเรือนคนไข้ต่อไป สำหรับคนที่มีอาการไม่หนักมากจะกลับบ้านแล้วค่อยมาให้ท่านรักษาตรวจอาการในตอนเช้าของทุกวันจนกว่าจะหาย
๓. ข้อห้ามและความเชื่อเกี่ยวกับการรักษา
ในระหว่างการรักษาห้ามผู้ป่วยรับประทานส้มสิง (ชนิดที่เปลือกมีฤทธิ์เป็นกรดทุกชนิด) ห้ามดื่มเหล้า รับประทานน้ำแข็ง ข้าวเหนียว กล้วย ปลากระป๋อง ผู้หญิงห้ามถูกตัวผู้ป่วยชาย ผู้ชายห้ามถูกตัวผู้ป่วยหญิง ผู้ป่วยหญิงและชายห้ามถูกเนื้อต้องตัวซึ่งกันและกันแม้แต่การส่งของต่อมือกันก็ทำไม่ได้
ประโยชน
เป็นภูมิปัญญาที่เกิดจากความจำเป็นในวิถีชีวิตประจำวัน เกิดจากการสั่งสมความรู้ความชำนาญมา
แต่โบราณ เอื้อประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ โดยเฉพาะในชนบททั้งในอดีตและปัจจุบันได้รับประโยชน์จากภูมิปัญญาดังกล่าว
เรือกอและ

ลักษณะและวิธีการใช้

เรือกอและเป็นเรือประมงที่ใช้ในแถบจังหวัดภาคใต้ตอนล่างมีลักษณะเป็นเรือยาวที่ต่อด้วยไม้กระดานโดยทำให้ส่วนหัวและท้ายสูงขึ้นจากลำเรือให้ดูสวยงาม นิยมทาสีแล้วเขียนลวดลายด้วยสีฉูดฉาดเป็นลายไทยหรือลายอินโดนีเซีย ซึ่งนำมาประยุกต์ให้เหมาะกับลำเรือ เรือกอและมี ๒ แบบคือ แบบหัวสั้นและแบบหัวยาว ขนาดของเรือแบ่งเป็น ๔ ขนาด โดยยึดความยาวของลำเรือเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง คือ ขนาดใหญ่ยาว ๒๕ ศอก ขนาดกลางยาว ๒๒ ศอก ขนาดเล็กยาว ๒๐ ศอก และขนาดเล็กมากเรียกว่า "ลูกเรือกอและ" ยาว ๖ ศอกโดยประมาณ และด้านนอกซึ่งค่อนขึ้นไปทางขอบเรือ ทำเป็นขอบนูนออกมาข้างนอก ลักษณะเป็นกันชนของเรือยาวตลอดลำเรือเรียกว่า "ปาแปทูวอ" ที่ตอนล่างของปาแปทูวอทำรอยแซะเนื้อไม้ด้วยกบให้เป็นแนวยาวตลอดลำเรือเรียกว่า "กอมา" เรือทั้งลำ แบ่งเป็น ๒ ส่วน ส่วนหัวเรียกว่า "ลูแว" ส่วนท้ายเรียกว่า "บูเระแต" ถ้าแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนหัวเรียกว่า "ปาลอ" ส่วนกลาง (ลำเรือ) เรียกว่า "ตือเราะ" ส่วนท้ายเรียกว่า "ปูงง"
ประโยชน์
เรือกอและส่วนใหญ่ใช้ในการประมง โดยนำออกไปทำการประมงในทะเลและนิยมทำเป็นพวก ๆ พวกละ ๕-๖ ลำ นอกจากนี้ยังใช้สำหรับแข่งขันโดยใช้ฝีพายหรือใช้ใบก็ได้ทุกครั้งที่จะออกเรือก่อนขึ้นเรือชาวประมงจะให้ความเคารพเรือกอและของตนโดยการถอดรองเท้าทุกครั้ง และเมื่อเรือจอดอยู่บนฝั่งก็ห้ามผ่านใกล้ ๆ หรือเล่นบริเวณหัวเรือ ไม่พูดจาเชิงอวดดี หรือพูดในสิ่งที่ไม่เป็นมงคล เพราะเชื่อว่ามีพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ความคุ้มครองเรือสิงสถิตอยู่ที่หัวเรือบริเวณ "จาปิ้ง" นับได้ว่าเรือกอและเป็นเรือในจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งใช้ในการประมงทางทะเลของชาวประมงมุสลิมในจังหวัดภาคใต้ นับว่าเป็นเรือที่แปลกตาและหาดูได้ยากในจังหวัดอื่นๆ
กระบอกขนมจีน ภาษาถิ่นเรียก "บอกหนมจีน"
ลักษณะและวิธีใช้
ลักษณะกระบอกขนมจีน ทำด้วยทองเหลือง เป็นเครื่องทำแป้งให้เป็นเส้นขนมจีน โดยอาศัยแรงกดทับทำให้แป้งซึ่งอยู่ในกระบอกขนมจีนดันออกมาเป็นเส้น ทางรูที่ก้นของกระบอกที่เจาะไว้
วิธีทำกระบอกขนมจีน
๑. ขั้นตอนการทำ
๑.๑ ใช้เบ้าหล่อ
๑.๒ การกลึง
๑.๓ การถูตกแต่งด้วยตะไบ
๑.๔ การเจาะ
๒. การทำตัวกระบอก
๒.๑ ตัวกระบอกใช้เบ้าเป็น ๒ ชั้น คือเป้าชั้นนอกและเบ้าชั้นใน เบ้าชั้นนอกแกะเป็นรูปทรงกระบอกตอนล่างของตัวกระบอกทำรูปทรงกลมตอนบนเป็นโครงหุ้มปากมีสันยื่นออกมาหุ้มโดยรอบปาก
ของทรงกลม และมีสันแคบ ๆ ปิดทับสันรอบปากเป็นช่วง ๆ ด้านละ ๑ อัน ด้านบนของสันดังกล่าวมีขอบปากโผล่ให้เห็นภายในของตัวกระบอก ริม ๒ ข้างของขอบมีแผ่นทองเหลืองบาง ถูด้วยตะไบเป็นครึ่งกนกลายไทย อีกด้านหนึ่งหล่อยึดติดกับหูปากกระบอก ซึ่งเจาะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสไว้สำหรับใส่แขนกระบอก สามารถถอดเข้าออกได้ กึ่งกลางของแขนกระบอกเจาะรูกลมใหญ่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบ ๒ เซนติเมตร สำหรับใส่เกลียว (แกนก่อให้เกิดแรงกดอัดซึ่งมีเกลียวอยู่ตลอดแกนนั้น) เกลียวมีความยาวประมาณ ๓๕ เซนติเมตร ส่วนบนของเกลียวเป็นรูปโค้งเจาะรูตรงกลางสำหรับใส่ไม้กลมหรือเหล็กกลมขนาดนิ้วหัวแม่มือ เพื่อบิดเกลียวให้เกิดแรงอัดภายในของกระบอก เบ้าทรงกลมต้องตันตลอด เมื่อเททองเหลืองลงเบ้าและเย็นลงสนิทแล้วถอดเบ้าออกทั้งเบ้าชั้นนอกชั้นในก็จะได้รูปทรงกระบอกขนมจีนตามต้องการซึ่งลดส่วนของตัวกระบอกให้เล็กลงโดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๙ เซนติเมตรส่วนยาวของตัวกระบอกรวมถึงหูประมาณ๓๕เซนติเมตรตกแต่งพื้นผิวของทุกส่วนที่ยังขรุขระให้เรียบด้วยการกลึงถูด้วยตะไบจนมีสภาพสมบูรณ์
๒.๒ การทำส่วนประกอบภายในของกระบอกขนมจีนซึ่งมี ๒ ชิ้น ได้แก่ แป้นบนและมีแป้นล่าง รองรับเอาไว้แป้นบนมีลักษณะเป็นทรงกลมพอถอดและใส่ภายในกระบอกได้ พื้นด้านล่างแบบเรียบ หน้าบนเป็นสันนูนขึ้นเป็นหลังเต่าแล้วให้ตรงศูนย์กลางบุ๋มลงเท่ากับความโตของปลายเกลียว เพื่อให้ปลายเกลียวจับยึดไม่ให้เกลียวที่เป็นแกนแกว่งออกในขณะบิด ที่ส่วนบนของเกลียวแป้นบนนี้เป็นแผ่นตัน จะวางอยู่บนเนื้อแป้งซึ่งอัดแน่นอยู่ในกระบอกขนมจีน ปลายเกลียววางอยู่กึ่งกลางของแป้นบนอีกทอด แป้นล่างขนาดเท่ากับแป้นบนเรียบทั้ง ๒ หน้า เจาะรูรังผึ้งเท่าก้านจากเต็มพื้นที่เพื่อเป็นทางออกของเส้นขนมจีนในขณะที่ถูกแกนบิดและกดแป้นลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเมื่อหมดแป้ง แป้นบนกับแป้นล่างก็จะอยู่ชิดติดกัน
วิธีการใช้
๑. เอาแป้งข้าวเจ้าที่ต้มพอครึ่งสุกครึ่งดิบ ปั้นเป็นก้อนใส่ลงไปในกระบอกขนมจีนที่มีแป้นล่างรองรับเอาไว้
๒. เอาแป้นบนวางทับบนแป้งขนมจีน แล้วบิดเกลียวแป้นบน แกนจะถูกบิดและกดแป้นบนลงมาเรื่อย ๆ แป้งขนมจีนจะหาทางออกมาทางรูรังผึ้งที่เจาะเอาไว้ออกมาเป็นเส้นยาว ๆ โรยลงไปในกระทะน้ำเดือด ต้มจนเส้นแป้งสุกกลายเป็นเส้นขนมจีน
ประโยชน์
ขนมจีนเป็นอาหารพื้นบ้านของนครศรีธรรมราชที่คนนิยมรับประทานร้านขายขนมจีนจึงมีอยู่ทั่วไปกระบอกขนมจีนจึงมีประโยชน์ทั้งเป็นเครื่องผ่อนแรงและลดเวลาในการทำเส้นขนมจีน สามารถผลิตเส้นขนมจีนจำนวนมากในเวลารวดเร็ว
ชื่อ เหล็กไฟตบ
ลักษณะและวิธีการใช้
๑. ลักษณะของเหล็กไฟตบ
เหล็กไฟตบเป็นเครื่องมือทำไฟชนิดหนึ่ง ทำจากไม้หรือเขาสัตว์เช่น วัว ควาย ขนาดกระทัดรัดที่เหมาะกับการใช้งาน จะยาวประมาณ ๑๒ เซนติเมตร แบบกลมจะเป็นแบบที่นิยมมากที่สุด
๑.๑ ส่วนประกอบของเหล็กไฟตบ ประกอบด้วย
๑) กระบอก รูปทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ตรงยอดฝังโลหะ ปลายแหลม สำหรับใช้เขี่ยปุยเชื้อไฟ ด้านล่างเจาะรูที่กึ่งกลางก้น กว้างประมาณ ๑ เซนติเมตร รูลึก ๔-๕ เซนติเมตร
๒) ก้านเหล็กไฟตบ ลักษณะกลมยาว ขนาดใส่เข้ากับรูกระบอกได้พอดี ไม่คับหรือหลวม ถ้าก้านดีตบเบา ๆ ดึงออกมาไฟก็จะติด ตรงปลายก้าน คว้านเจาะรูลึก ๑/๒ เซนติเมตร สำหรับบรรลุเชื้อไฟ ปลายก้านด้านนอกเซาะร่องเล็กรอบแกน ใช้เส้นด้ายพันให้รอบแกนและมัดให้แน่น เรียกว่า ซุย เอาขี้ผึ้งหรือไขมันวัวทาเส้นด้ายให้มันลื่น โคนเหล็กไฟตบมีขนาดใหญ่ ก้นแบนสำหรับใช้มือตบ
๓) เชื้อไฟ เรียกว่า ปุย ทำจากปุยเต่าร้างตากแห้ง โดยขูดปุยจากกาบของต้นเต่าร้าง นำปุยไปตากแดดคลุกผสมขี้เถ้าเปลือกส้มโอแห้ง โดยส่วนขี้เถ้า ๑ ส่วน ปุยเต่าร้าง ๕ ส่วน
๒. วิธีใช้เหล็กไฟตบ
บรรจุเชื้อไฟปุยเต่าร้างใส่ในรูปลายก้านเหล็กไฟตบ อัดให้แน่นแล้วนำก้านเหล็กไฟตบไปใส่ในรูกระบอก ใช้ฝ่ามือตบท้ายก้านเหล็กไฟตบ เข้าไปในรูกระบอกแล้วดึงกลับออกมาอย่างรวดเร็ว ไฟจะติดอยู่ทีปุยเต่าร้าง ใช้ยอดปลายแหลมของกระบอกเขี่ยปุยเต่าร้างที่ติดไฟออกมาจุดกับเชื้อเพลิงที่เตรียมไว้ ก็จะได้ไฟไปใช้ประโยชน์ตามความต้องการ
ประโยชน์ของเหล็กไฟตบ
๑. ในสมัยก่อนไม่มีไม้ขีดไฟ เหล็กไฟตบเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่คิดค้น วิธีทำไฟใช้รู้จักนำสิ่งที่มีอยู่'ตามธรรมชาติอย่างเช่นปุยเต่าร้างมาสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์
๒. การทำเหล็กไฟตบ จากไม้ เขาสัตว์ หรืองาช้าง ต้องใช้ความรู้ทางช่าง การตกแต่งเหล็กไฟตบให้สวยงามได้ส่วน ทั้งรูปทรงและการออกแบบที่มีความประณีต และมีหลายแบบ เช่น แบบกลม แบบเหลี่ยม แบบแบน และแบบกุบกล่อง ทำให้เหล็กไฟตบเป็นชิ้นงานที่รังสรรค์ไว้ทั้งใช้ประโยชน์และเพื่อดูเล่นสวยงาม เป็นวัตถุที่มีคุณค่าแแห่งภูมิปัญญาชาวบ้าน
การปลูกพืชในกระบอกไม้ไผ่

บุคคล ชาวสวนในจังหวัดตรัง

องค์ความรู้
วิธีนี้เหมาะกับเพาะเมล็ดพืชยืนต้นบางชนิดหรือใช้กับต้นกล้าพืชทำได้โดยการเตรียมกระบอกไม้ไผ่ที่ไม่มีข้อและมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒ นิ้ว และยาวประมาณ ๑๒ นิ้ว นำกระบอกไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ไปปักลงในแปลงเพาะให้ลึกพอสมควร แล้วหยอดเมล็ดพืชลงไป ปล่อยให้เมล็ดงอกในกระบอก เมื่อต้นกล้าแข็งแรงดีแล้ว กระบอกไม้ไผ่ก็จะผุพังไปเอง ข้อควรระวังสำหรับการเพาะกล้าโดยวิธีนี้คือถ้าฝนตกชุกอาจมีน้ำขังอยู่ในกระบอกทำให้เมล็ด ต้นกล้าเน่าได้
ประโยชน์
๑. กระบอกไม้ไผ่จะเป็นที่กำบังไม่ให้สัตว์มากัดกินต้นกล้าที่กำลังงอกได้ ทำให้การงอกมีประสิทธิภาพดีขึ้น
๒. เป็นการป้องกันแมลงหรือศัตรูพืชโดยชีววิธี
สินค้าพื้นเมือง
สร้อยปะการัง
วัสดุ ซากปะการัง
วิธีทำ
นำปะการังที่เก็บได้จากท้องทะเลมาทำความสะอาด แล้วย้อมสีต่างๆ เช่น สีดำ สีขาว สีเหลือง สีเขียว สีส้ม สีม่วง กลึงเป็นรูปทรงต่างๆส่วนใหญ่แล้วนิยมทำเป็นทรงกลมและสี่เหลี่ยม หลังจากนั้นเจาะรูตรงกลางโดยใช้สว่านขนาดเล็ก เมื่อเจาะรูเรียบร้อยแล้วนำมาร้อยด้วยสายเอ็นการร้อยนั้นสลับลวดลายสีต่างๆเพื่อความสวยงามหากร้อยเป็นเส้นสั้นๆหรือทำสร้อยมือต้องติดตะขอที่ปลายทั้งสองข้าง
การประยุกต์ใช้
ปะการัง นำมาตกแต่งให้มีลักษณะรูปทรงที่สวยงามทำเป็นสร้อยมือ หรือสร้อยคอ เป็นเครื่องประดับที่มีความสวยงามมากชิ้นหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวสุสานหอย บ้านแหลมโพธิ์ จังหวัดกระบี่ จะนิยมซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึก
มีดพร้านาป้อ
กลุ่มบุคคล/กลุ่มบุคคล สมาชิกกลุ่มตีเหล็กบ้านนาป้อ ตำบลควนปริง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง
องค์ความรู้
๑. ลักษณะ
๑.๑ การทำมีดพร้า ชาวบ้านนาป้อ สืบทอดวิชาตีเหล็กทำมีดพร้ามาจากบรรพบุรุษ เหล็กที่ใช้ทำมีดพร้า ปัจจุบันนิยมใช้เหล็กผสมสำเร็จ และเหล็กแหนบรถยนต์ เชื้อเพลิงใช้ถ่านไม้ อุปกรณ์มีเตาเผา ทั่ง ค้อน การตีมีดจะใช้เหล็กดี ทำให้มีดมีความคม และใช้ทนทาน
๑.๒ลักษณะของมีดพร้านาป้อตัวมีดทำด้วยเหล็กลักษณะมีดหัวโค้งงอโดยปลายสุดงอโค้งลงเป็นจะงอยการใส่ด้ามด้ามจะทำด้วยไม้ด้ามยาวขนาดจับเหมาะมือกระชับมือ รูปทรงสวยงาม
๑.๓ ประเภทของมีดพร้านาป้อ
๑) มีดพร้าหัวแหลม ส่งขายในจังหวัดยะลา และประเทศมาเลเซีย ใช้ตราเบตง
๒) มีดพร้าหัวแหลม ส่งขายในจังหวัดกระบี่ ใช้ตราจระเข้
๓) มีดพร้าหัวตัด ส่งขายในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสตูล จังหวัดพัทลุง ใช้ตรา ๕ ดาว และตรา ๒๒
๔) มีดพร้าหัวแหลม ส่งขายในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดชุมพร ใช้ตรา ๐๐๗
๕) มีดพร้าภูเก็ต ส่งขายในจังหวัดภูเก็ต จังหวัดพังงา จังหวัดระนอง ใช้ตราหน่อไม้และตราน้ำเต้า ขนาดของมีดพร้าที่ผลิตออกมา
เบอร์ ความยาวมีด คมมีดกว้าง คอมีดกว้าง เส้นผ่าศูนย์กลางบ้องมีด
๐ ๑๕ นิ้ว ๒.๕ นิ้ว ๓ นิ้ว ๓ นิ้ว
๑ ๑๔ นิ้ว ๒.๑ นิ้ว ๓ นิ้ว ๓ นิ้ว
๒ ๑๓ นิ้ว ๒ นิ้ว ๒.๕ นิ้ว ๒.๕ นิ้ว
๓ ๑๒ นิ้ว ๒ นิ้ว ๒.๕ นิ้ว ๒.๕ นิ้ว
๔ ๑๐ นิ้ว ๒ นิ้ว ๒.๕ นิ้ว ๒.๕ นิ้ว
๒. วิธีการใช้ นิยมใช้กันกว้างขวางสารพัดประโยชน์ ใช้สอยในชีวิตประจำวันของคนชนบท ดังนี้
๒.๑ เป็นอุปกรณ์ในการทำสวน ทำไร่นา ใช้งานถาง ฟันต้นไม้ ตัดหญ้า ปอกมะพร้าว ปอกผลไม้ต่าง ๆ
๒.๒ ใช้เป็นอาวุธป้องกันตัว ผู้ชายชนบทในจังหวัดตรังและภาคใต้ จะนิยมใช้มีดพร้า เวลาจะออกจากบ้านทั้งไปสวนไร่นา และไปทำธุระอื่น ๆ ก็จะนำติดตัวไปด้วย
ประโยชน์
๑. ใช้ในการทำงาน เป็นเครื่องมือในการทำงาน ทำไร่นา เมื่อพบอะไรที่ต้องการฟัน ใช้ของมีคม สามารถใช้ได้ทันที
๒. เป็นอาชีพเสริม ของกลุ่มตีเหล็กบ้านนาป้อ นอกจากทำรายได้ให้ผู้ประกอบการแล้ว ยังสามารถรักษาวัฒนธรรมที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษไว้ ชาวนาป้อยังได้ผลิต จอบ เสียม ขวาน มีดกรีดยาง เพื่อใช้ในการเกษตรกรรม
 การทอผ้าพื้นเมืองบ้านมะม่วงปลายแขน
วัสดุ
๑. เครื่องทอผ้าพื้นเมือง (เกยก) มีเครื่องต่าง ๆ ประกอบด้วยฟืมมีลักษณะคล้ายหวี ทำหน้าที่ตบกระแทกให้เส้นด้ายสานขัดกันเป็นลายเนื้อผ้าติดกัน ตีนฟืมซึ่งผู้ทอจะใช้ขาเหยียบให้ขึ้น ๆ ลง ๆ เวลาขัดลายดอกและเนื้อผ้า เขายกเหยียบและเขาเหยียบ ลูกพันและฟัน ลูกกะหยกลูกตุ้ง ผังสำหรับขึงไม่ให้เส้นด้ายยุ่ง นัดใจและนัดสอดใช้สำหรับพุ่งสอดระหว่างเส้นด้าย กระสวย ดรนใส่ไหมดอกใช้เฉพาะเวลาทอผ้ายกดอก
๒. ไนหรือที่ปั่นด้าย
๓. เครื่องปั่นด้าย สำหรับปั่นด้ายใส่หลอดด้าย
๔. เส้นด้าย ใช้ด้ายฝ้ายผสมคอดตอน ซึ่งต้องซื้อมาจากตลาดในตัวเมือง
วิธีการทำ
๑. ขั้นตอนการทอผ้าพื้นเมืองบ้านมะม่วงปลายแขนมีดังนี้
ขั้นที่ ๑ นำด้ายฝ้ายที่เตรียมไว้ มาปั่นกับเครื่องปั่นด้าย ใส่หลอดด้ายไว้
ขั้นที่ ๒ นำด้ายที่ใส่หลอดมาใส่ราวด้ายแล้วดึงเอาความยาวและความกว้างตามต้องการ
ขั้นที่ ๓ นำมาหวี เพื่อไม่ให้เส้นด้ายพันกัน
ขั้นที่ ๔ นำมาเก็บลายผ้าตามต้องการ
ขั้นที่ ๕ นำมาก่อเขาคือการนำด้ายที่เตรียมไว้มาประกับเขาของเกทอ
ขั้นที่ ๖ ด้ายที่ก่อเขาแล้ว นำมาปั่นใส่เรี่ย เพื่อทำด้ายพุ่ง สำหรับทอผ้า
ขั้นที่ ๗ ใส่กระสวยแล้วทอผ้าตามลายต้องการ จนเสร็จเป็นผืนซึ่งการทอผ้าแต่ละลาย จะแตกต่างกันตรงที่การเก็บลาย
๒. ลายผ้าของผ้าพื้นเมืองบ้านมะม่วงปลายแขน ได้แก่ ลายดอกพิกุล ดอกรัก คชกริช ราชวัตร พิมพอง พิกุลล้อม ใบไม้ พิมพ์ใหญ่
การประยุกต์ใช้ผ้าพื้นเมืองบ้านมะม่วงปลายแขน นำมาใช้ประโยชน์ได้หลายรูปแบบ ดังนี้
๑. ใช้เป็นผ้าตัดเสื้อได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งผู้ทอจะทอลายผ้าตามลูกค้าสั่งทำโดยตรง และทอส่งขายที่ร้าน ๑๒ นักษัตรซึ่งเป็นร้านขายปลีก โดยจะขายผ้าพื้นเมืองบ้านมะม่วงปลายแขนเป็นหลาเกือบทุกลาย ราคาหลาละ ๒๐๐ บาท ส่วนลายพิมพ์ใหญ่และลายใบไม้สอดดิ้นทองหรือดิ้นเงิน ราคาหลาละ ๘๐๐ บาท ชนิดไม่สอดดิ้นราคาหลาละ ๕๕๐ บาท ดังนั้นผู้รับทอผ้าพื้นเมืองบ้านมะม่วงปลายแขนจะมีรายได้ประมาณวันละ ๒๐๐ บาทต่อคน ส่วนเจ้าของกลุ่มทอผ้าจะมีรายได้ประมาณเดือนละ ๕,๐๐๐-๑๐,๐๐๐ บาท
๒. การประยุกต์ใช้ผ้าพื้นเมืองบ้านมะม่วงปลายแขนในปัจจุบัน สามารถนำมาทำผลิตภัณฑ์ได้หลายประเภท เช่น กระเป๋าถือสตรี กระเป๋าสตางค์ของสตรี ซองแว่นตา ซองกระดาษทิชชู กล่องกระจกใส่ลิปสติก ใส่ไม้จิ้มฟัน ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับซื้อหาเป็นของฝากของที่ระลึก
อ้ายแด้ง
บุคคล/กลุ่มบุคคล
นายช่วง สุกแก้ว บ้านเลขที่ ๑๗ หมู่ที่ ๕ ตำบลนาขยาด อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
ลักษณะ
อ้ายแด้งเป็นมีดยาว อาจารย์สุทธิพงศ์ วงศ์ไพบูลย์ กล่าวว่าคล้ายกับพร้ากราย หลายคนที่ไม่รู้จัก พร้ากราย รู้จักแต่มีดอีโต้ก็บอกว่าคล้ายกับมีดอีโต้ที่ยืดยาวออก แต่จะคล้ายอะไรก็มีข้อที่เหมือนกัน คือสวยงามกว่าทั้งสองอย่างที่กล่าวถึงมาก ด้วยลักษณะรูปทรงที่เพรียวและแอ่นเชิด ส่วนปลายของมีดมีลักษณะคล้ายปีกนก ประกอบกับส่วนด้าม ซึ่งทำด้วยเขาควายหรือไม้ สวมปลอกเหล็กลักษณะด้ามโค้งงอไปข้างหน้า รับกับการแอ่นเชิดของตัวมีด ทำให้เกิดเส้นสายลีลาที่งดงามของรูปทรง
วิธีการใช้
ผู้ชายในชนบทนิยมถืออ้ายเเด้งเป็นอาวุธประจำตัว ซึ่งบางโอกาสอาจใช้ถางหรือฟันได้ด้วย จึงมักเลือกเล่มที่ทั้งคมและรูปทรงสวยงามบางเล่มเชื่อว่าเป็นมงคลนำโชคลาภมาสู่เจ้าของ หรือช่วยให้แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง บางเล่มผู้ทำต้องประกอบพิธีกรรมใช้โลหะผสม เพื่อให้เกิดความขลัง และอาจยกมอบสืบต่อกันเป็นมรดก
ขั้นตอนการทำมีดเเด้ง
๑. นำเหล็กมาเผาไฟ ชักสูบให้แดง แล้วใช้เอาออกมาวางบนทั้งเหล็ก ใช้ฆ้อนเหล็กตีขณะยังร้อน จนกระทั่งเป็นรูปโกลนของอ้ายเเด้ง
๒. วางไว้สักครู่ นำตะไบมาถูและแต่งจนได้รูป นำไปเผาไฟอีกครั้งจนแดงพอปานกลาง ใช้คีมเหล็กจับไปจุ่มในรางน้ำ
๓. นำเขาควายหรือไม้มาแกะเป็นรูปด้าม เจาะรูด้ามสวมปลอกเหล็กป้องกันการกระทบกระเทือนเวลาใช้งาน
๔. นำมูลครึ่ง (สัตว์) อุดรูด้าม เอาปลายหางของตัวมีดมาลนไฟให้ร้อน ประกอบกับด้ามแช่น้ำเพื่อให้มูลครึ่งแข็งตัว
ประโยชน์
๑.เป็นอาวุธประจำตัวใช้ป้องกันตัวเมื่อมีคนมาทำร้ายหากใช้อ้ายเเด้งแทงคนร้ายคนร้ายจะบาดเจ็บมากเพราะปลายมีดมีหยักคมแผลจะเหวอะหวะอาจถึงตายได้
๒. ใช้เหมือนพร้าทั่วไป
๓. เป็นเครื่องประดับตกแต่งบ้าน ที่มีคุณค่า มีราคาสูง บ่งบอกถึงฐานะและเกียรติยศของผู้ครอบครอง
๔. เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่แสดงให้อนุชนรุ่นหลังได้ตระหนักและภาคภูมิใจ
๕. ทรงคุณค่าทางโบราณคดี เพราะหายากในปัจจุบัน
ที่มาใน http://www.siamsouth.com/phum.htm


PS.  เราอาจจะใช้เวลาไม่มาก ที่จะรู้สึกรักใครสักคน แต่เราจะต้องใช้เวลามากมาย ที่จะลืมใครสักคนได้อย่าโทษใคร ถ้าใจของคุณนั่นเองที่เปลี่ยนแปลง เรื่องธรรมดาของการรักใครสักคน เหมือนกับเหรียญที่มี 2 ด้านเสมอ